วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

ทวิตเด็ดวันนี้: ความเห็นนักข่าวต่างประเทศ

 

วันพุธ, มกราคม 15, 2557

ทวิตเด็ดวันนี้: ความเห็นนักข่าวต่างประเทศ


วันที่ 3 คนนัอยลง
Crowds camped out at key intersections in Bangkok appear thinner today, 3rd day of sit-ins. Pic of Asoke:

เจอนักข่าวจากจีน เขามองการเมืองไทยเป็นเรื่องตลก เป็นความดื้อรั้นและอ่อนหัด คนไทยชอบทุบหม้อตัวเอง ต่อไปจะตามหลังพม่า

แนะนำ WE VOTE Photos: รวมภาพงาน "จุดเทียน" จากทางบ้าน


ที่มา WE VOTE Albums
เราทุกคนต่างมีแสงสว่างในตัวเอง ขอบคุณที่ร่วมกันแสดงออก ร่วมกันเรียกร้องทางออกที่สงบสันติ ด้วยการเลือกตั้งค่ะ
ดูภาพทั้งหมดได้ที่นี่

 


 
http://www.youtube.com/watch?v=T4dWgDUrXus
Published on Jan 14, 2014
ตื่นมารับอาหารสมองตอนเช้า กับรายการ Wake Up Thailand ประจำวันพุธ ที่ 15 มกราคม 2557 ทางช่อง VoiceTV

h/t
แนะนำให้ฟังครับการปรากฏกายของพลังเงียบที่มีคุณค่าและความหมายมากคนหนึ่ง หากคลิปนี้ได้รับการเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง

โปสเตอร์ เกี่ยวกับการวินิจฉัย บัตรดี หรือ บัตรเสีย

โดย ดวงจำปา สเปนเซอร์

เมื่อ กกต เอง ไม่ได้ช่วยทำการโปรโมทการเลือกตั้งและให้ความรู้กับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งอย่างเท่าที่ควร 

เราก็ควรจะใช้พลังสันติทางโลกไซเบอร์ เพื่อให้ความรู้กับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านกัน

----------------------

เพิ่งทราบมาว่า ถ้า กา เครื่องหมาย "ถูก" สามารถได้รับการวินิจฉัยว่า เป็น "บัตรเสีย" ได้ 

ดังนั้น ควรพยายามใช้แต่กากบาท x อย่างเดียว ตัวเดียว เท่านั้น (กากบาท 2 ตัว สามารถถูกวินิจฉัย ให้กลายเป็นบัตรเสียได้ - หรือ แม้แต่ กากบาท ตัวเดียว แต่มี วงเล็บเปิด/ปิด อยู่)

(จากข้อมูลที่ได้รับมาจาก การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว --> กาผิดช่องให้กับพรรคเพื่อไทย มีเป็นจำนวนมากลำดับที่หนึ่ง ส่วนลำดับที่สอง ก็คือ การกา โดยใช้เครื่องหมาย "ถูก")


ช่วยกรุณา เผยแพร่กันต่อไปด้วย เพื่อจำนวน "บัตรเสีย" จะได้ลดลงให้เหลืออยู่น้อยที่สุด (เท่าที่สามารถเป็นไปได้) ขอบคุณมากค่ะ

มีคำถามจากเยาวชนคนหนึ่ง ถึง กปปส ...

ที่มา 



###กปปส ไม่มีใคร ตอบช่วยตอบน้องเค้าทีค่ะ ###
  1. ถ้าการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ปชป.ชนะ ตอนนี้อภิสิทธิเป็นนายก นายสุเทพจะยังอยากปฏิรูปประเทศมั้ยครับ ยังต้องมีกปปส.มั้ยครับ
  2. ถ้าจะบอกว่าต้องปฏิรูป ต้องล้มระบอบทักษิณ เพราะโกงกินกันมาก ขอถามว่ารัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยมีการโกงกินเลยใช่หรือไม่ครับ เพิ่งมีรัฐบาลนี้ใช่มั้ยครับที่คอรัปชั่น ตอบตรงๆนะครับ 
  3. ระบอบทักษิณโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม วางคนให้ทั่วทุกสายงานเพื่อโกงเลือกตั้ง เพื่อผูกขาดชัยชนะในการเลือกตั้ง ขอถามว่าเมื่อปี 2550 และ 2554 รัฐบาลไหนรักษาการณ์ระหว่างการเลือกตั้งครับ
  4. ใครร่างรัฐธรรมนูญ 50 ครับ ทักษิณเหรอครับ
  5. เลือกตั้งสว.เป็นการล้มล้างการปกครอง แล้วที่กปปส.จะให้เลือกตั้งผู้ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองมั้ยครับ แล้วไอ้ที่เลือก อบจ. อบต. หละครับ
  6. ปชป.ร้องศาลรัฐธรรมนูญไม่ผ่านอัยการสูงสุด ผิดกฏหมายมั้ยครับ
  7. การแก้รัฐธรรมนูญของเพื่อไทยทำไม่ได้เพราะเป็นการแก้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 50 เอ่อ ถ้าไม่เป็นการแก้รัฐธรรมนูญฉบับเดิมแล้วเค้าจะเรียกว่าเป็นการแก้รัฐธรรมนูญไปทำไมครับ
  8. อภิสิทธิ์เป็นนายก แก้รัฐธรรมนูญเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้ง เปลี่ยนแปลงจำนวน สส. ตรงนี้ก็ขัดรัฐธรรมนูญปี 50 ครับ ทำไมแก้ได้ครับ ข้อนี้ผมฝากถามไปยัง ตลก ด้วยนะครับ 
  9. ตลก ได้รับการโปรดเกล้าหรือไม่ครับ แล้วใครเป็นคนเลือกครับ 
  10. ขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญมีอะไรบ้าง หาอ่านในเนทได้ไม่ยากครับ แล้วที่วินิจฉัยล่าสุดนี้อยู่ในขอบเขตอำนาจหรือไม่ครับ
  11. ศาลอาญาก็ประกาศไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเรื่องออกหมายจับกบฏนะครับ ถ้าอย่างนี้ศาลอาญาหมดความชอบธรรมหรือไม่ครับ ผู้พิพากษาศาลอาญาต้องลาออกหรือไม่ครับ
  12. สส. เป็นฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฏหมาย ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในส่วนไหนของขั้นตอนการออกกฏหมายครับ ตอบแบบขอหลักฐานด้วยนะครับ อย่าตอบลอยๆ
  13. ครม.อภิสิทธิ์วันสุดท้ายประชุม 12 ชั่วโมงรวด ผ่านร่างงบประมาณเกือบหกแสนล้านคิดว่าโกงมั้ยครับ
  14. เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท นี่เค้าโกงหรือยังครับ จะซื้อรถมาวิ่งส่งของทำธุรกิจ สร้างเนื้อสร้างตัวแต่ไม่มีเงิน ทำงัยครับ ก็ต้องไปกู้เงินมาซื้อรถใช่มั้ยครับ อยากมีบ้านแต่ไม่มีเงินก้อนทำงัยครับ เก็บตังค์ไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบหรือครับ หรือจะกู้ตอนนี้ ซื้อบ้านเลย อยู่เลย แล้วก็ทำงานหาเงิน ผ่อนส่งกันไป วันหนึ่งก็เป็นของเรา
  15. อัตราร้อยละของหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของเราเมื่อเทียบกับชาติอื่นในอาเซียนหรือแม้แต่เทียบกับอเมริกา ญี่ปุ่น เป็นเท่าไหร่ครับ ข้อนี้รบกวนออกแรงหาข้อมูลหน่อยนะครับ ถ้าหาไม่ได้เดี๋ยวผมมาเฉลยครับ คือผมจะชี้ให้เห็นว่าประเทศเรายังมีความสามารถในการกู้เงินมาพัฒนาประเทศและสามารถใช้คืนได้ครับ เพราะถ้าผู้ให้กู้มองว่าเราไม่มีปัญญาใช้คืน เค้าก็ไม่ให้กู้ครับ
  16. โครงการเช็ค 2000 บาท รักษาฟรี (เกทับ 30 บาท) เป็นโครงการประชานิยมหรือเปล่าครับ 
  17. เสาธงชาติต้นละ 500,000 แพงมั้ยครับ
  18. เคยกินปลากระป๋องยี่ห้อชาวดอยมั้ยครับ อร่อยมั้ยครับ ผมหาซื้อไมได้เลย
  19. โครงการถนนปลอดฝุ่น 40,000 กว่าล้าน ทุกวันนี้คุณยังเห็นฝุ่นบนถนนมั้ยครับ
  20. สปก.4-01 เขาแพง เขายายเที่ยง นี่โกงชาติโกงแผ่นดินหรือเปล่าครับ
  21. ปรส.สมัยชวน 1 ทำชาติเสียหายไปหลายแสนล้าน แต่คนปชป.รวยพรวดพราดหลายคน โกงมั้ยครับ 
  22. สภาประชาชนมาจากประชาชนเลือกกันเอง 300 กปปส.เลือก 100 ขอถามว่าในประเทศนี้มีอาชีพอยู่ 300 อาชีพเหรอครับ ผมว่ามีมากกว่านี้นะ แล้วเค้าจะเลือกกันยังงัย ใครเป็นสมาชิก ใครเป็นกรรมการ ใครเป็นประธาน กติการการเลือกเป็นอย่างไร จะใช้เวลาเลือกนานแค่ไหน เลือกอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมแค่ไหน แล้วกปปส.เลือก 100 นี่ คุณเอาสิทธิอะไรมาเลือกแทนผม ผมไปยินยอมมอบสิทธิของผมให้คุณตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ แล้วคุณจะเลือกณัฐวุฒิ จตุพร หมอเหวง เฉลิม ให้อยู่ใน 100 คนนี่มั้ยครับ ใจกว้างพอหรือเปล่า หรือจะมีแต่หมากระเป๋า หมอผี ดร.วิปริต นักวิชาการตกขอบ พวกของคุณครับ ดูแล้วมันยุ่งมั้ยครับ ผมเสนอทางออกให้ง่ายๆนะครับ ไปเลือกตั้งครับ
  23. ทหารเกียร์ว่าง วางตัวเป็นกลางไม่ฟังคำสั่งรัฐบาล ทหารทำถูกหรือไม่ครับ ทหารก็เป็นข้าราชการ (ที่ติดอาวุธก็เลยเสียงดัง) กินเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน นายกรัฐมนตรีคือผู้ที่ประชาชนเลือกให้มาบริหารประเทศ ทหารไม่ฟังคำสั่งนายก ถูกหรือไม่ครับ
  24. ถ้าตำรวจเกียร์ว่างบ้าง สนุกเลยหละครับ โจรผู้ร้ายร่าเริง ยาเสพติดเกลื่อนประเทศ ไม่มีการเคารพกฏจราจร จะเอางั้นหรือครับ จะดีหรือครับ
  25. มวลมหาประชาชนมาเป็นล้านๆจริงเหรอครับ ลองหาข่าว BBC กับ CNN ย้อนหลังนะครับ 
  26. มวลมหาประชาชนมีเป็นล้านแต่จากการเปิดรับสมัครเลือกตั้ง ส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังสมัครได้นะครับ ถ้าอย่างนั้นผมถือว่านี่เป็นคนส่วนใหญ่กว่าพวกกบฏกปปส.ได้มั้ยครับ เรียกว่าเป็น อภิมหาซุปเปอร์มวลมหาประชาชนชุบแป้งทอด ดีมั้ยครับ เพราะปริมาณมากกว่าพวกกบฏอย่างเทียบกันไม่ได้เลยครับ


Voice TV: นปช.ราชบุรีจุดเทียนเรียกร้องสันติภาพ หนุนเลือกตั้ง2ก.พ.


กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดง จังหวัดราชบุรี สวมเสื้อสีขาวร่วมกันจุดเทียนเพื่อแสดงพลังเรียกร้องสันติและความสงบของบ้านเมือง   พร้อมสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นี้

 กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดง นำโดยนายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล แกนนำในนามพลเมืองก้าวหน้าราชบุรี สวมเสื้อสีขาวและใช้ธงสีขาวเพื่อแสดงสัญญาลักษณ์การรักความสงบ รวมกลุ่มกันกว่า 500 คน ที่บริเวณริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา แม่น้ำแม่กลอง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ประกาศจุดยืนต่อต้านการรัฐประหาร และการประกาศการชัตดาวน์กรุงเทพมหานครในวันพรุ่งนี้ 13 มกราคม 2557 ของกลุ่ม กปปส.ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมเชิญประชาชนที่รักในระบบประชาธิปไตยให้ออกมาเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ยังร่วมกันจุดเทียนเพื่อแสดงพลังในกันรักความสันติและความสงบของบ้านเมือง และปล่อยลูกโปร่งสีขาวอีกว่า 500 ลูก

 นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล แกนนำในนามพลเมืองก้าวหน้าราชบุรี แสดงถึงทางออกประเทศไทยในขณะนี้ ว่า ทางออกประเทศไทยในวันนี้ การแก้ปัญหาต้องมีการแก้ปัญหาทั้งระบบ จะสำเร็จได้ต้องเริ่มต้นที่กติกา ต้องมีการเลือกตั้งก่อน จึงยืนยันเจตนารมณ์ที่จะรณรงค์เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เพื่อเป็นการเริ่มต้นในการแก้ปัญหาและหาทางออกให้ประเทศ 

ด้านพ.ต.อ.อนิน ศรีสรรพรางค์ ผกก.สภ.เมืองราชบุรี ได้นำกำลังออกมาดูแลและรักษาความสงบเรียบร้อย ทำให้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ก่อนที่กลุ่ม มวลชนคนเสื้อแดงจะสลายตัวแยกย้ายกันกลับและประกาศจะมีการรวมตัวในวันพรุ่งนี้อีกครั้งเพื่อต่อต้านกลุ่ม กปปส.อีกครั้งที่ โรงยิมเนเซี่ยมราชบุรี ในเวลา 8.00 น.


ส่วนสถานการณ์การออกมารวมกลุ่มของมวลชนคนเสื้อแดงที่ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีที่ออกมารวมกลุ่มกันจุดเทียนแสดงจุดยืนการรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งและรักสงบ กว่า 150 คน ที่บริเวณ หอนาฬิกา เขตเทศเมืองบ้านโป่ง มีการปะทะกันอย่างดุเดือด กับกลุ่ม กปปส. อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ที่ออกมารวมกลุ่มกันกว่า 300 คน ได้ออกมาเป่านกหวีด และมีการตะโกนด่ากันอย่างดุเดือด ท่ามกลางการรักษาความสงบของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร กว่า 50 คน หลังจากเหตุการณ์ได้ประทะด่าทอกันระยะหนึ่ง ทางแกนนำกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงก็ได้ประกาศให้มวลชนแยกย้ายกันกลับ เพราะกลัวเหตุจะมีความรุนแรงและบานปราย สถานการณ์จึงคลี่คลาย  

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์: รัฐประหารต้านได้ ... (โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง)


ที่มา:มติชนรายวัน 14มกราคม 2557

ผมก็ได้แต่หวังว่าจะสามารถตีพิมพ์งานชิ้นนี้ได้ก่อนที่การรัฐประหารจะเกิดขึ้นและอยากจะขอย้ำว่าการทำรัฐประหารนั้นเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่งและเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตย เพราะไม่เคารพความแตกต่างทางความคิดและสิทธิเสรีภาพซึ่งเป็นฐานของเสรีนิยมประชาธิปไตย รวมทั้งเป็นการทำลายกฎหมายและหลักนิติธรรม และที่สำคัญก็คือเป็นการนิรโทษกรรมสุดซอยแบบหนึ่งด้วย เพราะคนที่ทำรัฐประหารเมื่อทำสำเร็จเขาก็จะได้รับการยกโทษจากความผิด ซึ่งถือเป็นการคอร์รัปชั่นทางอำนาจแบบหนึ่งเช่นกัน

งานเขียนเรื่องของการรัฐประหารในประเทศไทยนั้นมีด้วยกันหลายกลุ่มงานอาทิงานเขียนที่อธิบายและนับจำนวนว่าการรัฐประหารในบ้านเรามีมากี่ครั้งแล้ว งานเขียนที่ว่าด้วยเรื่องของข้อถกเถียงที่ว่าด้วยเรื่องของความชอบธรรมและข้ออ้างในการทำรัฐประหาร งานเขียนที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของทหารในทางการเมืองที่มีจุดสูงสุดของแต่ละครั้งนั้นด้วยการทำรัฐประหาร งานเขียนที่ว่าด้วยการตีความข้อมูลว่าใครอยู่เบื้องหลังในการทำรัฐประหารบ้าง ตลอดจนงานเขียนที่ว่าด้วยเรื่องของการเตรียมการ "เขียน" รัฐประหาร (หรือออกบัตรเชิญ) โดยกลุ่มพลังต่างๆ ในสังคมที่อาจไม่ใช่ตัวทหารเอง

งานชิ้นนี้ของผมจะเฉพาะเจาะจงไปที่การหยิบยกเอาข้อคิดบางประการที่พบจาก"คู่มือการอบรมการต่อต้านรัฐประหาร"(Training Manual for Nonviolent Defense Against the Coup d′Etat) โดย Richard K. Taylor ที่จัดพิมพ์โดย สถาบันการไม่ใช้ความรุนแรง (Nonviolence International) เมื่อ ค.ศ.2011 (เข้าถึงได้ที่http://nonviolenceinternational.net/)

ใช่ว่าการนำเอาเรื่องการต่อต้านรัฐประหารจากตำราระดับนานาชาตินั้นจะสามารถใช้ในบ้านเราได้อย่างตรงไปตรงมาด้วยว่าเราก็คงจะรู้ๆกันว่าการทำรัฐประหารในบ้านเราแต่ละครั้งนั้นย่อมมีลักษณะของความเป็นไทยบางประการอยู่ในนั้น แต่ผมก็ยังคิดว่าการนำเอาเรื่องของการต่อต้านรัฐประหารที่มีการอบรมกันในระดับนานาชาติมาเล่าสู่กันฟังนั้นน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราสามารถสร้างสรรค์การต่อต้านรัฐประหารได้โดยไม่จำเป็นต้องคิดในลักษณะของสูตรตายตัวเสมอไป (นั่นก็คืองานเขียนชิ้นนี้ผมจะไม่พูดถึง "เทคนิค" ที่ตายตัว แต่ต้องการทำให้เกิดควมเข้าใจ "ยุทธศาสตร์" ที่สำคัญที่จะสามารถกระจายตัวไปต่อต้านรัฐประหารได้) หรือคิดแต่ว่าของเรานั้นแปลกเสียจนไม่กล้าจะคิดอะไรไปทางอื่นได้

ดังนั้น จึงต้องขอเริ่มจากเรื่องแรกก่อน ก็คือ การรัฐประหารนั้นไม่ได้จะทำสำเร็จในทุกๆ ครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องตั้งหลักกันให้ดี อย่าเพิ่งท้อแท้ เมื่อมันเกิดขึ้น หรือแม้ว่ารู้สึกว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น หรือแม้แต่มันเกิดขึ้นมาสักพักใหญ่แล้วและดำเนินตัวเองต่อไป เราก็ต้องอย่าสูญสิ้นความหวังไปเสียหมด

เรื่องถัดมาก็คือ การรัฐประหารนั้นมีการเตรียมการ และการต่อต้านรัฐประหารก็สามารถเตรียมการได้ และทำได้เช่นกัน และที่สำคัญยิ่งก็คือ นอกจากอย่าไปท้อแท้ และเตรียมการต้านได้แล้ว การต่อต้านรัฐประหารที่สำเร็จได้หลายครั้งในโลกใบนี้ก็เกิดขึ้นได้ด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่เกิดความสูญเสียแล้ว ยังเกิดผลดีต่อประชาธิปไตยในระยะยาวด้วย

เรื่องที่สามก็คือ การรัฐประหารนั้นโดยแก่นแท้ไม่ได้กระทำสำเร็จด้วยการใช้ทหารหรืออาวุธและความรุนแรง แต่กระทำสำเร็จได้ด้วยการทำให้ผู้คนเชื่อฟังและยินยอมที่จะปฏิบัติตาม ดังนั้น หัวใจสำคัญของการต่อต้านการทำรัฐประหารก็คือการไม่ยอมทำตามที่คณะรัฐประหารต้องการ นั่นก็คือการที่ผู้ปกครองนั้นจะปกครองได้ก็จะต้องทำให้ประชาชนนั้นยอม ดังนั้น เมื่อประชาชนไม่ยอม การปกครองนั้นก็เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนไม่ได้

โดยหลักสากลที่เข้าใจกันนั้น การทำรัฐประหารนั้น หมายถึงการทำให้รัฐนั้นถูกทำลายลง (ระเบิดหรือเป่าหรือพัดทำลายรัฐไป) ดังนั้น โดยตัวของคำมันเองแล้วภาษาไทยก็แปลได้ตรงตัวทีเดียว จึงย่อมเข้าใจได้ว่าทำไมคณะรัฐประหารเมื่อทำการ "ประหารรัฐ" ย่อมจะต้องหาถ้อยคำสวยหรูมาตั้งชื่อใหม่ให้ดูโหดร้ายน้อยลง เช่น ปฏิรูป ปฏิวัติ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำลายสถาบันการเมืองที่เรียกว่า "รัฐ" ลงนั่นแหละครับ

ในแง่ของคำจำกัดความที่ผูกกับขั้นตอนและวิธีการแล้ว รัฐประหารก็คือการล้มรัฐบาลอย่างรวดเร็วและใช้กำลังบังคับโดยกลุ่มคนที่วางแผนกันมา (เป็นอย่างดี) โดยที่คนที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านนั้นต่อต้านไม่สำเร็จและรู้สึกว่าตนไม่พร้อมและไม่มีอำนาจในการต่อต้าน

หัวใจสำคัญของการทำรัฐประหารจึงอยู่ที่การวางแผนลับการใช้กองกำลังที่ติดอาวุธ(ซึ่งมักหมายถึงกองทัพ) และใช้ความรวดเร็วในการยึดอำนาจ แต่นั่นคือส่วนที่เรามักจะสนใจและถูกรายงานในแง่ของข่าวลือ หรือเบื้องหลังการทำรัฐประหาร แต่สิ่งที่สำคัญมากแต่พูดกันน้อยก็คือ การสลายการต่อต้าน (neutralization) ซึ่งมีทั้งความหมายของการไปหาแนวร่วม หรือการปิดกั้นไม่ให้เกิดโอกาสในการต่อต้านและไม่เห็นด้วยในการทำรัฐประหาร ทั้งก่อนการรัฐประหาร ในช่วงการรัฐประหาร และในช่วงที่รัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว การสลายการต่อต้านนี้เองที่ทำให้ไม่ต้องเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร

การสลายการต่อต้านนั้นอาจแบ่งออกเป็นทั้งในแง่ของการวิเคราะห์แยกแยะฝักฝ่ายและแนวร่วมในหมู่กองกำลัง(ทหาร) เอง ว่าพวกไหนควรจะมาร่วม พวกไหนควรจะไม่ดึงเข้ามาร่วมหรือไปจัดการกับพวกที่มีแนวโน้มที่จะไม่มาเข้าร่วม แต่ที่สำคัญอีกมุมหนึ่งก็คือการสลายการต่อต้านในทางการเมืองและสังคม อาทิ ไปหาแนวร่วม (และแนวร่วมแบบที่ไม่ต้านคือขออยู่เฉยๆ) ในช่วงก่อนรัฐประหาร หรือเมื่อทำการรัฐประหารก็จัดการผูกขาดการสื่อสารต่างๆ ผ่านการยึดสื่อ และการทำให้ผู้นำกลุ่มทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งปัญญาชนออกมาสนับสนุน หรือไม่ต้าน (อาจผ่านการโดดเดี่ยว จับกุม หรือลอบสังหาร หรือขู่) และการตั้งรัฐบาลรักษาการที่ดูว่ามาจากหลายภาคส่วน (แต่ที่สำคัญคือทุกส่วนนั้นต้องภักดีต่อคณะรัฐประหาร)

การสลายการต่อต้านนั้นไม่ใช่มีแต่การยึดสื่อและควบคุมการสื่อสารแต่ยังรวมไปถึงการควบคุมสถานที่ราชการและจำกัดการเดินทางของผู้คนด้วย (ไม่งั้นคนจะเดินทางมาต่อต้าน หรือวางแผนต่อต้าน ดังนั้น การทำรัฐประหารย่อมจะต้องห้ามการเดินทาง อาทิ การประกาศเคอร์ฟิว) รวมไปถึงการ "แสดง" แสนยานุภาพของกองกำลังตามถนนหนทาง เพื่อให้เกิดภาพของการคิดไปว่าคณะรัฐประหารสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว

เขียนมาถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่าโหเขาทำขนาดนี้แล้วจะต้านเขาไหวเหรอก็จะบอกว่าไหวครับ ต่างประเทศเขาต้านกันมาเยอะแล้ว โดยเฉพาะที่สำคัญก็คือในเยอรมนีเมื่อปี 1920 ฝรั่งเศส เมื่อปี 1961 หรือรัสเซียเมื่อปี 1991 ทั้งนั้นหัวใจสำคัญก็คือการแสดงออกซึ่งการ "ไม่ยอม" ("No" to the Coup) ต่อการรัฐประหารนั่นแหละครับ และที่สำคัญก็คือการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง
หัวใจของการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงประกอบด้วยแก้วสามประการ

หนึ่งคือการไม่ให้ความร่วมมือกับการทำรัฐประหาร(RESIST) หมายถึง การประท้วงและล้อเลียนผู้นำการทำรัฐประหารทั้งหลาย การแจกจ่ายข้อมูลถึงการขัดขืนอย่างอารยะและไม่ใช้ความรุนแรงต่อการรัฐประหาร การไม่ยินยอมต่อการบังคับให้เสนอข่าวด้านเดียว อาจทำได้ผ่านการตีพิมพ์กระดาษเปล่ามากกว่าเนื้อหาที่ต้องการให้พิมพ์ หรือทำให้จอดำในโทรทัศน์ รวมกระทั่งการออกมานอกบ้านในกรณีที่มีเคอร์ฟิว รวมทั้งการนัดหยุดงาน ไม่มาทำงาน หรือในบางกรณีเช่นที่รัสเซียนั้นมีประชาชนออกมายืนล้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เอาไว้

สองคือ การแสดงออกด้วยความเป็นมิตรต่อผู้ที่กระทำรัฐประหาร (GOODWILL) การไม่ให้ความร่วมมือกับการทำรัฐประการโดยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นจะสำเร็จได้ที่ผ่านมาจะต้องมีเงื่อนไขของการแสดงออกด้วยความเป็นมิตรไม่โกรธไม่เกลียดต่อผู้ที่ถืออาวุธเช่น การพยายามทักทายและพูดคุยจับไม้จับมือกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกสั่งให้ออกมายึดอำนาจ ในกรณีของผู้ต่อต้านที่เป็นผู้หญิง ในหลายกรณีเขามอบขนม อาหาร บุหรี่ ดอกไม้ หรือแม้กระทั่ง (ส่ง) จูบและยิ้มให้กับคณะทหารและขอร้องไม่ให้ยิงลูกหลานของพวกเขา และขอให้เมตตาปรานีต่อประชาชน

ที่สำคัญบรรดาบุคคลที่ออกมาพยายามเป็นมิตรกับทหารนั้นก็พยายามที่จะบอกกันเองด้วยว่าทหารเหล่านี้ก็เป็นลูกเป็นหลานของเราอย่าไปใช้ความรุนแรงกับเขา

สามคือการยอมรับที่จะต้องเผชิญกับความทุกข์และความยากลำบาก (SUFFERING) การเคลื่อนไหวที่อ้างอิงสันติวิธีและการไม่ใช้ความรุนแรงในอดีตนั้น มักจะมีการฝึกฝนในเรื่องของความอดทนต่อความรุนแรง ความทุกข์และความยากลำบาก โดยจะไม่ยอมใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ การฝึกความกล้าหายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกับความบ้าบิ่นหรือไม่กลัวอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่หมายถึงการไม่ยอมตอบโต้ด้วยความรุนแรงและเดินหน้าต่อไปด้วยการไม่ร่วมมือ เป็นมิตร มีสติ และไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงหรือใช้การรับความรุนแรงเป็นเงื่อนไขที่จะตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง

ทั้งนี้เพราะผู้ที่มีอาวุธหรือปืน(ทหาร) ฯลฯ มักจะใช้อาวุธในการฆ่าหรือทำร้ายคนอื่นเมื่อเขาเชื่อว่าคนที่เผชิญหน้ากับเขานั้นเกลียดเขาและต้องการฆ่าเขาแต่ถ้าเราแสดงความเป็นมิตรกับเขาก็จะเป็นเรื่องยากเย็นหรือปั่นป่วน/ค้านในจิตใจถ้าเขาจะต้องใช้กำลังและอาวุธในการจัดการและในเกมการต่อสู้นี้เมื่อทหารไม่เห็นความรุนแรงที่เขาถูกฝึกมาให้คาดหวังว่าจะต้องเจอ เขาไม่รู้สึกว่าถูกกดดันข่มขู่ และไม่เห็นเพื่อนร่วมรบของเขาล้ม (ตาย) ลง เขาก็จะรู้สึกยากลำบากในการที่จะตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรงกับผู้ที่ต่อต้านเขาด้วยความเป็นมิตรอย่างอดทนและไม่รุนแรงนักต่อสู้ที่ไม่ต้องการใช้ความรุนแรงทางกายภาพเชื่อว่าคนที่ถืออาวุธและถูกสั่งให้ใช้ความรุนแรงจะเริ่มเรียนรู้

และเห็นใจผู้ที่ออกมาแสดงความเป็นมิตรกับเขาและเริ่มสงสัยกับคำสั่งที่มีลักษณะโฆษณาชวนเชื่อที่เขาได้มาจากคณะรัฐประหารและเป็นไปได้ในหลายครั้งที่ทหารเหล่านั้นจะปฏิเสธคำสั่งจากเบื้องบนเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่เขาเห็นตรงหน้านั้นขัดกับภาพที่เขาถูกปลูกฝังมา

ประโยชน์อีกประการหนึ่งของการไม่ใช้ความรุนแรงในการต่อต้านกับการรัฐประหารก็เพราะเมื่อเราใช้ความรุนแรงในการต่อต้านกับการรัฐประหารจำนวนของคนที่จะต่อสู้จะถูกจำกัดลงด้วยจำนวนของอาวุธที่เรามีและด้วยจำนวนคนที่สามารถใช้อาวุธเหล่านั้นได้ (ซึ่งย่อมต้องมีน้อยกว่าคนที่ถูกฝึกมารบซึ่งทำรัฐประการเสียเอง) แต่เมื่อต่อต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นคนจำนวนมากย่อมสามารถเข้าร่วมได้ โดยการไม่ยอมทำตามสิ่งที่คณะรัฐประหารต้องการ และจำนวนสามารถเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ซึ่งจะลดทอนทั้งความชอบธรรมและการไม่ให้ความร่วมมือกับคณะรัฐประหาร และย่อมจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของคณะรัฐประหารในสายตาของนานาชาติด้วย

นอกจากนั้นการต้านรัฐประหารด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงนั้นยังมีรากฐานประชาธิปไตยอยู่ด้วยเพราะไม่ต้องฟังคำสั่งที่ตายตัวจากเบื้องบนแต่เป็นการกระจายตัวด้วยหลักการการมีส่วนร่วมที่เน้นความสร้างสรรค์และหลากหลาย และสะท้อนความเป็นมิตร ไม่เกลียด ไม่โกรธ และไม่กลัว ต่อผู้ที่เราเผชิญหน้าด้วยสติที่เรามี และเป็นการหยิบยื่นความเคารพในความเป็นมนุษย์ให้กับผู้ที่เราต่อต้านด้วย

ตัวอย่างของการต้านรัฐประหารโดยไม่ใช้ความรุนแรงด้วยความเป็นมิตรและสติรวมทั้งเผชิญกับความทุกข์ยากก็คือการเข้าใจว่าหากจะออกไปเผชิญหน้ากับกองกำลังนั้นก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมาก เช่น การไปกันไม่ให้กองกำลังยึดครองอาคารบางแห่ง ทั้งที่หัวใจของการต่อต้านนั้นจริงๆ ไม่ใช่ "อาคาร" แต่เป็น "สถาบันทางสังคม" ต่างๆ อาทิ แม้ว่าจะปกป้องโรงเรียน ตึกรัฐสภา หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ไม่ได้ แต่เมื่อการสอนเปลี่ยนที่ การทำงานเปลี่ยนที่ และการออกอากาศยุติหรือเปลี่ยนที่ไป ก็ให้ถือว่าทำสำเร็จ โดยเราต้องถามคำถามสำคัญว่าการทำรัฐประหารนั้นเขาตั้งใจ "ยึด" เอาสถาบันอะไรของเราไปบ้าง และการปกป้องสถาบันเหล่านั้นจะทำได้อย่างไรโดยไม่ยึดติดกับการเผชิญหน้าที่นำไปสู่ความรุนแรง แต่เป็นการต่อสู้ทางสัญลักษณ์ที่คณะรัฐประหาร (รับ) รู้ (อยู่แก่ใจ) ว่าเราไม่ยอมให้เกิดสิ่งนั้นได้

และที่สำคัญประการสุดท้ายก็คือการขยายผลของการต้านรัฐประการไปยังกลุ่มคนที่เชื่อว่าอยู่ตรงกลางๆไม่ต้านและไม่หนุนให้เข้ามาเป็นพวกกับเราในการต้านรัฐประหารให้ได้ และด้วยการต้านรัฐประหารที่ไม่ใช้ความรุนแรง โดยไม่ร่วมมือ (อย่าง) เป็นมิตร เข้าใจความยากลำบาก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัวและต่อต้านอย่างมีสตินี้เองที่เราสามารถเพิ่มสถิติของการทำรัฐประหารที่ล้มเหลวได้อีกครั้งหนึ่งทั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในประวัติศาสตร์โลกครับผม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น