วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คุณสุเทพเดินทั้งวันบอกได้มา 9 ล้าน ตรวจสอบก็ไม่ได้ เอาไปให้ชาวนาอย่างไรก็ไม่บอก คลุมเครื่อมาก.. ของเราป้าเช็งยกหูกริ๊กเดียวให้มา 10 ล้านแล้วครับ

 

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 10, 2557

บก.ลายจุด จับมือ ป้าเช็ง ระดมทุนซื้อข้าวจากรัฐบาล


ที่มา sanook.com

(10 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุดโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ผุดไอเดียระดมทุนไปซื้อข้าวจากรัฐบาลมาขายให้ประชาชนทั่วไป โดยเงินก้อนแรกที่จะนำมาทำทุน ได้จาก นางศรวรรณ ศิริสุนทรินท์ หรือ ป้าเช็ง เจ้าของธุรกิจน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งได้ลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพัฒนาคุณภาพชีวิต

"ป้าเช็งให้เลขาโทรมาบอกว่าซื้อไอเดียผม เรื่องที่จะระดมทุนไปซื้อข้าวจากรัฐบาลมาขายให้ประชาชนช่วยกันเอาไปเก็บคนละ 20 ถุง เงินก้อนแรกป้าเช็งรับเป็นเจ้ามือให้เอาเงินไปซื้อมาก่อน ทำโครงการเสร็จค่อยเอาไปคืนแก ทีแรกแกเสนอมา 10 ล้าน ผมตกใจ บอกว่าเอาสัก 1-2 ล้านมาหมุนซื้อข้าวก็พอ"

โดยแนวคิดของนายสมบัติคือ ระดมทุนซื้อข้าวถุง 1 คันรถหกล้อ แล้วนำมาจำหน่ายในเครือข่ายและพื้นที่ของตนเอง ขายกันแบบไม่เอากำไร เพื่อระบายข้าวออกจากสต็อก เอาเงินไปหมุนเวียนช่วยชาวนา โดยทำให้เป็นโมเดลหน่วยละ 1 จังหวัด

"ข้าวไทยช่วยไทย

จันทร์นี้ผมนัด ผอ องค์การคลังสินค้า กระทรวงพานิชย์ พูดคุยเรื่องประชาชนจะขอซื้อข้าวในสต๊อกของรัฐบาล ผมคงไม่ทำใหญ่เพราะเกินตัว แต่จะทำเป็นโมเดลเพื่อให้ท่านที่มีกำลังช่วยกันทำ ไอเดียผมคือ ระดมทุนให้ได้ประมาณ 1-2 ล้านบาท ซื้อข้าวถุง 1 คันรถหกล้อ แล้วนำมาจำหน่ายในเครือข่ายและพื้นที่ของตนเอง ผมอยากเห็นโมเดลแบบนี้ทำโดยกลุ่มประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ตั้งเต้นท์หรือหน่วยจำหน่ายข้าว รับไปกลุ่มละ 1 คันรถหกล้อ หมดแล้วก็ค่อยสั่งใหม่ ขายกันแบบไม่เอากำไร และมีวัตถุประสงค์ชัดเจนคือ ระบายข้าวออกจากสต๊อกแล้วเอาเงินไปหมุนเวียนเพื่อช่วยชาวนา

กรุงเทพควรมีเจ้าภาพในทุกเขต ตั้งเป็นเต้นท์ถาวรสัก 1 เดือน
และทุกจังหวัดควรมีอย่างน้อย 1 หน่วย 
ใครที่คิดว่าตนเองมีศักยภาพ เตรียมตัวสื่อสารกับเครือข่ายของตนเองไว้ 
ผมจะประสานงานและสร้างโมเดลให้สำเร็จก่อน จากนั้นก็จะอธิบายวิธีการที่แต่ละกลุ่มจะประสานตรงไปที่องค์การคลังสินค้าด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมาผ่านผม


นี่เป็นแนวคิดแบบแกนนอนอีกรูปธรรมหนึ่ง"
ooo



คุณสุเทพเดินทั้งวันบอกได้มา 9 ล้าน ตรวจสอบก็ไม่ได้ เอาไปให้ชาวนาอย่างไรก็ไม่บอก คลุมเครื่อมาก.. ของเราป้าเช็งยกหูกริ๊กเดียวให้มา 10 ล้านแล้วครับ

ใบตองแห้ง : 68 ไปเลยเพ่!

ภาพจาก thaiwomantalks.com

ที่มา Voice TV

ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เลือกตั้งเป็นโมฆะได้ไหม

ได้สิครับ มีอะไรใต้ฟ้านี้ที่ศาลทำไม่ได้ ก็รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ “ต้อง” เลือกตั้งภายใน 45-60 วันหลังยุบสภา ศาลยังตีความได้ว่าไม่บังคับ ไม่ต้องอ้างพจนานุกรมด้วยซ้ำ

สังคมไทยมาถึงจุดที่ผู้ลากมากดีมีศีลธรรมไม่สนใจแล้วว่าอะไรคือตัวบทกฎหมาย อะไรคือความยุติธรรม ขอแค่มีคนใส่เสื้อครุยขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ตัดสินเข้าข้างตัวเองก็พอ

เพียงแต่มีคำถามว่าสั่งให้เลือกตั้งเป็นโมฆะแล้วไง รัฐบาลก็รักษาการต่อไป จะเอาอะไรมาล้มรัฐบาลตั้งนายกฯ คนกลางตามข้อเรียกร้องของหม่อมอุ๋ย

ยิ่งกว่านั้นการอ้างง่ายๆ ว่า เป็นโมฆะเพราะไม่ได้เลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ก็ชักจะไม่เนียน เมื่อมีข้อโต้แย้งว่า “วันลงคะแนน” ไม่จำเป็นต้องวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร เพราะถ้าเกิดภัยพิบัติฉุกเฉิน เช่นน้ำท่วมฉับพลันทั่วภาคใต้ เลือกตั้งไม่ได้ 9 จังหวัด แต่จังหวัดอื่นพร้อมแล้วก็ต้องลงคะแนนก่อน โดย กกต.กำหนด “วันลงคะแนน” ใหม่ใน 9 จังหวัด อย่างนี้จะบอกว่าอีก 68 จังหวัดเป็นโมฆะไหม

ถ้าศาลจะสั่งให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ ต้องมีอะไรยอกย้อนกว่านี้ ต้องมีเชิงหน่อย ให้จับตากรณีที่ กกต.เสนอรัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ใน 28 เขต รัฐบาลออกไม่ได้นะครับ และไม่จำเป็นต้องออก เป็นอำนาจ กกต.ตามรัฐธรรมนูญ และตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ที่จะประกาศรับสมัครและกำหนดวันลงคะแนนภายใต้พระราชกฤษฎีกาเดิม ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 93 วรรคท้าย ยังให้เวลา 180 วัน

แต่ กกต.ประชุมกับที่ปรึกษากฎหมาย ที่ตึกโดม ธรรมศาสตร์ แล้วสมชัย ศรีสุทธิยากร บอกว่า กกต.มีมติเอกฉันท์ รัฐบาลจำเป็นต้องออกพระราชกฤษฎีกา จะทำหนังสือแจ้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ถ้ารัฐบาลมีความเห็นอย่างไร ต้องส่งหนังสือกลับมายัง กกต.

ฮั่นแน่ คิดว่าชาวบ้านรู้ไม่ทัน ถ้ารัฐบาลโต้แย้ง กกต.ก็จะอ้างว่ามีความขัดแย้งระหว่างองค์กร ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ แล้วคงไม่ส่งแค่ว่าจำเป็นต้องออกพระราชกฤษฎีกาหรือไม่ แต่คงตั้งคำถาม “ปลายเปิด” ให้ศาลวินิจฉัยด้วยว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าที่ต้องมาล่วงหลัง การเลือกตั้งอีก 28 เขตโดยที่รู้ผลเลือกตั้งทั่วประเทศอย่างไม่เป็นทางการแล้วนั้น จะทำให้การเลือกตั้งทั้งหมดเป็นโมฆะหรือไม่

โห ก็ที่ปรึกษากฎหมาย กกต.ไม่ใช่ใครที่ไหน ก๊วนสมคิด เลิศไพฑูรย์, สุรพล นิติไกรพจน์ นั่นเอง ที่ไปใช้ตึกโดมสัญลักษณ๋ประชาธิปไตยสุมหัวกันอย่างน่าเศร้าใจ

พรรคเพื่อไทยจึงต้องออกมาตอบโต้อย่างร้อนแรง ว่านี่ กกต.วางแผนตลบหลัง หรือล่อให้รัฐบาลทำผิดหรือเปล่า


ผลกระทบจากโจร

การเลือกตั้งเป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อำนาจตุลาการอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตย ลบล้างเจตจำนงประชาชนไม่ได้ เว้นแต่การแสดงเจตจำนงนั้นถูกบังคับ บิดเบือน หรือถูกทำให้สำคัญผิด

เช่น เขตเลือกตั้งหนึ่ง กกต.เขตติดเบอร์ผิดทุกหน่วย เบอร์ 14 สลับเบอร์ 15 ประชาชนสำคัญผิด ศาลสั่งเลือกตั้งโมฆะได้ แต่เฉพาะเขตนั้น

หรือจัดเลือกตั้งหลังรัฐประหาร ทหารคุมทุกหน่วย บังคับข่มขู่ประชาชนให้เลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง ศาลสั่งเป็นโมฆะได้ทั้งประเทศ (แต่ถ้าเกิดจริงศาลไทยก็ไม่กล้าสั่ง)

เมื่อปี 2549 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เลือกตั้ง 2 เมษาเป็นโมฆะ เพราะหลังจากมีพระราชดำรัส “เลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย” กระแสสังคมเห็นพ้องให้เลือกตั้งใหม่ พรรคฝ่ายค้าน ประชาธิปัตย์ ชาติไทย ยอมลงเลือกตั้ง เป็น “ฉันทามติ” ให้ศาลไปหาเหตุอะไรก็ได้ ศาลเลยอ้างว่า กกต.ชุดนั้นจัดคูหาเลือกตั้งให้ผู้ใช้สิทธิหันก้นออก ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ

"เป็นการเลือกตั้งที่ทำให้เกิดผลของการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ไม่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 มาตรา 3 มาตรา 104 วรรคสาม และมาตรา 144 มาตั้งแต่เริ่มต้นของกระบวนการจัดการเลือกตั้ง คือตั้งแต่การกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้ง การรับสมัครรับเลือกตั้ง การลงคะแนนเสียง การนับคะแนนเสียง การประกาศผลการเลือกตั้ง"

ศาลตีขลุมด้วยว่ามีปัญหาตั้งแต่กำหนดวันเลือกตั้ง (ว่าเร็วไป) ซึ่งอันที่จริงก็อยู่ในกรอบเวลาตามรัฐธรรมนูญ แต่จะตีขลุมซะอย่าง ใครจะทำไม ครั้งนั้นมีนักกฎหมายไม่กี่คน เช่น อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์, อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล คัดค้านว่าศาลไม่มีอำนาจสั่งเลือกตั้งโมฆะเพียงเพราะหันคูหาออก ไม่ใช่สาระสำคัญลบการแสดงเจตจำนงของประชาชน กกต.ไม่ใช่เพิ่งทำ กกต.ทำมาตั้งแต่เลือกตั้งท้องถิ่น (ซึ่งไม่ยักมีใครร้องโมฆะ) ในหลายประเทศก็หันคูหาเช่นนี้ ไม่เห็นใครว่าอะไร

แต่สังคมไทยซะอย่าง ชอบหาทางออกง่ายๆ ใช้ศาลเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาการเมือง นั่นคือจุดกำเนิด “ตุลาการภิวัตน์” ซึ่งต่อมาก็ได้เห็นว่าวิบัติเพียงไร

กระนั้นจะเห็นได้ว่า ต่อให้วิบัติเพียงไร ศาลปี 49 ก็ต้องหาเหตุบกพร่องที่มีลักษณะร่วมกันทั้งประเทศ โดยโทษ กกต.ผู้จัดเลือกตั้งเป็นเหตุ ถามว่าปี 57 มีอะไรเป็นเหตุบกพร่องทุกหน่วยทั่วประเทศ ถ้าหาเจอ จะโทษ กกต.ไหม จะเอาสมชัยเข้าคุกเหมือนปี 49 ไหม

หาไม่ง่ายนะครับ ฉะนั้น ต้องจับตากันต่อไปว่าจะใช้ประเด็นไหนที่เนียนหน่อย “หนา” น้อยหน่อย

วิธีหนึ่งที่หนาน้อยหน่อย คือจับปัญหาเลือกตั้งล่วงหน้า ที่ต้องมา “ล่วงหลัง” กับเลือกตั้งอีก 28 เขต มาเป็นข้ออ้างล้มเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์

ประเด็นนี้ วิรัตน์ กัลยาศิริ มือกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ก็อ้างในคำร้องให้เลือกตั้งโมฆะ นักวิชาการบางคนเช่น ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ช่วยอธิบายโดยมิได้นัดหมายว่า การเลือกตั้ง “ล่วงหลัง” จะไม่เป็นการลงคะแนน “โดยตรงและลับ” ตามมาตรา 93 เพราะผลเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภารู้กันหมดแล้ว ผู้ใช้สิทธิ “ล่วงหลัง” รู้แล้วว่าใครชนะใครแพ้ในเขตของตน ปริญญายังอ้าง พ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 102 ว่าบัตรเลือกตั้ง “ล่วงหลัง” 2 ล้านเสียงที่ส่งมายังเขตเลือกตั้งจะกลายเป็นบัตรเสียทั้งหมด

“ในกรณีที่บัตรเลือกตั้งส่งมาถึงสถานที่นับคะแนนของเขตเลือกตั้งใดหลังจากเริ่มนับคะแนนแล้วให้ถือว่าบัตรเลือกตั้งนั้นเป็นบัตรเสีย”

ปริญญามึนจนเป๋ หลงเดินตามทนายศาลสะดวกฟ้องหรือเปล่าครับ เพราะความเป็นจริงคือ กกต.ยังไม่ได้นับคะแนนที่เขต หลังการลงคะแนนวันที่ 2 กุมภา กรรมการเพียงแต่นับคะแนนหน้าหน่วยตามมาตรา 81 และ 84

“การนับคะแนนเลือกตั้งให้กระทำ ณ ที่เลือกตั้งโดยเปิดเผยจนเสร็จสิ้นในรวดเดียว ห้ามมิให้เลื่อนหรือประวิงการนับคะแนนเลือกตั้ง”

“เมื่อการนับคะแนน ณ ที่เลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งประกาศผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้น จำนวนบัตรเลือกตั้งที่มีอยู่ทั้งหมด จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ และจำนวนบัตรเลือกตั้งที่เหลือจากการลงคะแนนเลือกตั้ง ทั้งนี้ ให้กระทำโดยเปิดเผย และรายงานผลการนับคะแนนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งโดยเร็ว”

ผลการนับคะแนนและหีบบัตรซึ่งตอนนี้มาอยู่ที่กรรมการเขต ยังไม่ได้ประกาศตามมาตรา 87“เมื่อรวบรวมผลการนับคะแนนทุกหน่วยเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นแล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง แล้วรายงานผลการนับคะแนนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดและคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยเร็ว”

ฉะนั้นบัตรเลือกตั้งล่วงหลังจึงไม่เป็นบัตรเสียตามมาตรา 102 ถ้าเป็นก็ผิดที่ กกต. ถ้า กกต.นับคะแนนไปแล้ว ทำให้บัตรมาทีหลังกลายเป็นบัตรเสีย ก็ต้องฟ้อง กกต.ให้ติดคุกซักพันปี

ส่วนประเด็นที่การเลือกตั้งล่วงหน้ากลายเป็นล่วงหลัง ผู้ใช้สิทธิรู้อยู่แล้วว่าเขตของตนใครชนะ อาจกระทบการตัดสินใจ เช่น รู้ผลแล้วก็เซ็ง ไม่ไปเลือกตั้งดีกว่า หรือถ้าบังเอิญเขตไหนคู่คี่สูสี (ไม่รู้มีจริงไหม) ก็อาจมี “ลุ้น” ข้ามเขตให้พลิกชนะ

หรือแม้แต่การเลือกตั้งในเขตที่ยังจัดไม่ได้ การเลือกตั้งใน 28 เขตที่ต้องสมัครใหม่ รู้กันอยู่แล้วว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล พรรคไหนได้ ส.ส.เท่าไหร่ ทำให้เป็นการเลือกตั้งอย่างเซ็งๆ

ต้องยอมรับว่านี่เป็นความจริงครับ เราอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสาร จะปิดหูปิดตาใครได้ กกต.ยังไม่รวมคะแนน ยังไม่ประกาศผล แต่ต้องประกาศหน้าหน่วย ผู้สมัครหรือแม้แต่ชาวบ้าน เอาคะแนนแต่ละหน่วยมารวมกันก็รู้ผลตั้งแต่คืนวันนั้นแล้ว

แต่ประเด็นแรกถามว่านี่ไปกระทบการลงคะแนน “โดยตรงและลับ” ของคนที่จะมาเลือกตั้งล่วงหลังไหม “ลับ” ไม่ได้หมายถึงรู้อยู่แล้วว่าใครชนะ “ลับ” หมายถึงไม่มีใครรู้ว่าเขากาเบอร์อะไร

ประเด็นสำคัญคือ “ผลกระทบ” นี้เกิดจากอะไร ผลกระทบนี้เกิดจากการกระทำเยี่ยงโจร เยี่ยงอันธพาล ใช้กำลังปิดล้อมเลือกตั้งล่วงหน้า ใช้กำลังปิดกั้นการรับสมัคร ปล้นหีบบัตร ปล้นอุปกรณ์ ขัดขวางการเลือกตั้งด้วยเจตนาไม่สุจริต เพื่อล้มการเลือกตั้ง เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

กฎหมายจะยอมให้ผลจากการกระทำเยี่ยงโจร โดยเจตนาไม่สุจริต มาลบล้างการแสดงเจตจำนงโดยสุจริตของปวงชนชาวไทยไม่ได้

ถ้าทำได้ก็แปลว่ากฎหมายวิบัติ ไม่เหลือหลักนิติรัฐ เพราะหลักกฎหมายทั่วไปต้องปกป้องผู้สุจริต เราเป็นเจ้าของบ้าน เราเป็นเจ้าของรถ โจรมาปล้น มาทุบ มาเผา ไม่ทำให้สิทธิของเราเสื่อมเสียไป

ฉะนั้นจับตาให้ดี ไม่ว่า กกต.หรือศาล ถ้าอ้างผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการเลือกตั้งล่วงหน้า หรือการเลือกตั้งในเขตที่ยังจัดไม่ได้ หรือการเลือกตั้ง 28 เขตที่ต้องสมัครใหม่ ฯลฯ ต้องยืนยันว่าผลกระทบที่เกิดการการกระทำเยี่ยงโจร ลบล้างการแสดงเจตจำนงสุจริตในวันที่ 2 ก.พ.ไม่ได้ บัตรเลือกตั้งล่วงหน้าล่วงหลัง เอามาทำให้บัตรเลือกตั้งวันที่ 2 โมฆะไม่ได้ การเลือกตั้งอีก 9 จังหวัด ไม่ว่ามีปัญหาอย่างไร ก็ไม่สามารถลบล้าง 68 จังหวัด


สุดซอยไปเลยเพ่

ถามว่าศาลสั่งให้เลือกตั้งโมฆะ แล้วไง ก็ต้องยักแย่ยักยันกันต่อไป รัฐบาลนี้ก็ต้องรักษาการอยู่ เหมือนรัฐบาลทักษิณหลังวันที่ 2 เมษายน 2549 กปปส.ก็ยังต้องกางมุ้งรอ ปปช.ชี้มูลนายกฯ สั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ แล้วจะอ้างว่าไม่มีใครทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ อย่างนั้นหรือ ก็ต้องเถียงกันอีก เพราะตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ คณะรัฐมนตรียังอยู่ ยังปฏิบัติหน้าที่แทนกันได้ตามลำดับ

แล้วจะเอานายกฯ คนกลางมาเสียบตรงไหน ม็อบก็ต้องยื้อรอ โก่งคอเป่านกหวีดกันต่อไป ไม่เป็นอันทำมาหากิน ค่าใช้จ่ายบานปลายจนแทบจะหมดท่อ ต้องยุบเวที นี่ถ้าศาลไม่ตัดสินอะไรซักอย่าง ก็คงต้องเป่านกหวีดกันไปอีก 180 วัน ชาวบ้านชาวกรุงเดือดร้อน รถติด เศรษฐกิจตกต่ำ พ่อค้าแม่ขายย่านสีลม ราชประสงค์ สยาม มาบุญครอง จะดิ้นตาย (แต่ไม่กล้าโวย เพราะส่วนใหญ่ก็เชียร์ม็อบ ส่วนน้อยกลัวโดนรุม)

สงสารชาวนาเถอะครับ ถูกยื้อ ถูกเอามาเล่นเป็นเกมการเมือง รัฐบาลกู้เงินจ่ายจำนำข้าวไม่ได้ กกต.ขู่ฟ้องถ้าใครหาว่าขัดขวาง โถ ท่านไม่ได้บอกว่ากู้ไม่ได้ แต่ท่านไม่ชี้นี่ครับ ว่าทำได้หรือทำไม่ได้ รัฐบาลถามท่านไม่ตอบ บอกให้ตัดสินใจเอง แต่ไปขู่ตามหลังใน fbอย่างนี้ก็มีด้วย ท่านทำให้คลุมเครือ มีหน้าที่ตอบกลับไม่ตอบ แต่บอกว่า “ลองตัดสินใจมาสิ เดี๋ยวก็รู้ว่าถูกหรือผิด ถ้าผิดโดนเล่นแน่” รัฐบาลกล้าๆ กลัวๆ จำเป็นต้องตัดสินใจ แต่แบงก์ไม่มั่นใจไม่กล้าให้กู้

อย่ากระนั้นเลย ถ้าอยากล้มรัฐบาลกันนัก ก็ตัดสินซะให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ ใช้มาตรา 68 ตามคำร้องของพรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละ จะได้จบๆ สมใจ รอช้าอยู่ทำไม

มันจะเป็นอะไรที่ร้อง โอ๊ว สะใจมากเลยครับ ถ้าศาลตัดสินตามคำร้องของพรรคแมลงสาบ ผู้บอยคอตต์การเลือกตั้ง สมคบกับ กปปส. ปิดกั้นการรับสมัคร ปล้นหีบบัตร ขัดขวางทุกวิถีทาง ไม่ให้จัดเลือกตั้งในภาคใต้ฐานเสียงของตน แล้วมาฟ้องว่ารัฐบาลดันทุรัง สั่งเลือกตั้งทั้งที่รู้ว่ามีปัญหา เสียเงินเปล่า 3 พันกว่าล้าน ศาลบอกให้เลื่อนเลือกตั้งยังไม่ยอมเลื่อน เป็นการกระทำความผิด ฐาน “ใช้การเลือกตั้งรักษาอำนาจของตัวเอง” บังคับให้เกิดการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้อำนาจมาโดยไม่ใช่วิถีทางตามรัฐธรรมนูญ

ในขณะที่ม็อบไอ้เทือก ปิดถนน ขัดขวางเลือกตั้ง ประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ไล่รัฐบาล ตั้งรัฐบาลเอง ตั้งสภาเอง ศาลกลับบอกว่าไม่ผิดมาตรา 68 เป็นการใช้สิทธิชุมนุมในระบอบประชาธิปไตย

“ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยมีความผิด ไม่ยอมเลื่อนการเลือกตั้งตามคำแนะนำของศาล บังคับให้ กกต.จัดการเลือกตั้ง เพื่อใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือ รักษาอำนาจของตน เร่งเลือกตั้งเพื่อให้เปิดสภาได้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่พวกตนจะได้กลับมาเป็นรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มีความผิดตามมาตรา 68 ให้ยุบพรรค ตัดสิทธิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการบริหารพรรค ตลอดจนตระกูลชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส. ลูกผู้สมัคร เมียผู้สมัคร เป็นเวลา 5 ปี ค่าเสียหายจากการเลือกตั้ง 3 พันล้านบาท ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้”

โอ๊ว ขอให้ออกมาอย่างนี้เถอะครับ พรรคแมลงสาบ กปปส. หมอ สื่อ อธิการบดี ดาราทีวี ศิลปินเพื่อชีวิต NGO ราชนิกุล ฯลฯ จะไชโยโห่ร้อง แซ่ซ้องสรรเสริญ เยินยอสดุดี เรามีศาลไว้กำจัดนักการเมืองชั่ว หลักกฎหมายเป็นอย่างไรก็ช่าง ปฏิรูปประเทศไทยก่อน ชาวนาจะได้ค่าจำนำข้าวงวดสุดท้าย แล้วกลับไปนอนลูบท้อง ฝันรอปฏิรูปประเทศไทย ชีวิตใหม่อันสดใส ลืมตาอ้าปาก ปราศจากคอร์รัปชั่น มีแต่สุขสันต์ไม่สิ้นสุดใต้พระบรมโพธิ์สมภาร

ส่วนจะถอดถอนรัฐบาลก่อน แล้วค่อยวินิจฉัย ม.3 ม.7 ให้วุฒิสภาตั้งรัฐบาลรักษาการจากนายกฯ คนกลางมาปฏิรูปประเทศไทย 18 เดือน หรือจะวินิจฉัยไปพร้อมกัน ก็ตามสะดวกครับ จะให้ดี ก็รอพ้นวันที่ 2 มีนาคม ให้วุฒิสภาเหลือแต่ ส.ว.ลากตั้ง รับประกันไม่มีปัญหา

ไม่ต้องห่วงว่าพวกเสื้อแดงจะต่อต้านหรอก เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านสำทับแล้วว่าให้ประชาชนยอมรับคำวินิจฉัยของศาล ถ้าถอดถอนรัฐบาลเมื่อไหร่ ตั้งนายกฯ คนกลาง แล้วเสื้อแดงลุกฮือ ก็อาศัย พรก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลนี้ประกาศไว้นี่แหละ ใช้ปืนทราโวโดยไม่ต้องห่อถุงป๊อปคอร์น



แตกหักไม่ต่อรอง?

การเลือกตั้งมีความหมายอะไร การเลือกตั้งแสดงพลังของคนอย่างน้อย 20 ล้าน ที่เห็นว่าการเลือกตั้งคือวิธีแก้ความขัดแย้ง ไม่ใช่ล้มรัฐบาลด้วยม็อบแบบ กปปส. “รัฐประหารเงียบ” ตั้งนายกฯคนกลาง หรือลากรถถังออกมาแบบพวก OldMan ใกล้เป็นปุ๋ย

แกนนำม็อบนกหวีด สื่อเป่านกหวีด พยายามทำลายความชอบธรรมของการเลือกตั้งโดยอ้างว่ามีผู้มาใช้สิทธิไม่ถึงครึ่ง Vote Noอีกตั้งเยอะ อันที่จริงพวกเขาตระหนกที่เห็น “พลังเลือกตั้ง” ความเชื่อมั่นเข้มแข็งในประชาธิปไตย Respect My Vote ขนาดยอมฝ่าเข้าไปให้บีบคอ ขนาดกรรมการหน่วยหาย ยังจัดเลือกตั้งเองเป็นสัญลักษณ์

สื่อ โพลล์ พยายามชี้นำว่าการที่คนเลือกตั้งไม่ถึงครึ่ง จะทำให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ สื่อยังเปรียบเทียบปี 54 ว่าภาคเหนือ ภาคอีสาน ผู้ใช้สิทธิลดลง คน Vote No สูงขึ้น เพื่ออ้างว่าคะแนนนิยมเพื่อไทยลดลง 15 ล้านเสียงเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว

ถ้าผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยลดลงจริง ก็เป็นเรื่องดี เพราะในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนที่เลือกเพื่อไทยควรลงโทษพรรค ทั้งจาก “นิรโทษสุดซอย” และความผิดพลาดในการบริหารงานหลายด้าน แต่นี่เรากำลังพูดถึง “ผู้สนับสนุนประชาธิปไตย” 20 ล้านคน ไม่ใช่ “ผู้สนับสนุนเพื่อไทย” อย่าบิดเบือน

การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบปี 54 เพราะไม่มีการแข่งขัน ไม่มีบรรยากาศตื่นเต้นคึกคักเหมือนทุกครั้ง กกต.ก็จ้องเลื่อนเลือกตั้งแทนที่จะรณรงค์ให้มาใช้สิทธิ ประชาชนแทบจะต้องลงปฏัก ลาก จูง ให้ปฏิบัติหน้าที่  พอไม่เลื่อนเลือกตั้งก็ขู่กันรายวันว่าจะโมฆะ ก่อนวันเลือกตั้งยังทำศึกชิงหีบบัตรยิงกันสนั่นเมือง เช้าวันที่ 2 ก.พ.ก็ยังไม่มีใครมั่นใจว่าออกไปเลือกตั้งแล้วจะปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน โดยเฉพาะคนกรุงบางเขต ใครออกมาเลือกตั้งน่าจะได้เหรียญกล้าหาญ

ในสถานการณ์เช่นนี้ คนจำนวนมากที่ไปทำงานต่างภูมิลำเนา หรือแม้แต่คนกรุงที่อาศัยอยู่ต่างเขต อยู่ปริมณฑล ซึ่งเคยกลับไปเลือกตั้งกันคึกคัก ครั้งนี้ก็ไม่กลับ

แต่ภายใต้บรรยากาศอย่างนี้ ยังมีคนออกมาเลือกตั้ง 20 ล้านคน นี่แสดงความเข้มแข็งของพลังประชาธิปไตย พลังที่มุ่งมั่น โดยไม่จำเป็นต้องผูกกับเพื่อไทย เพราะยังมีพลังที่ 3 ยังมีคนที่เคยเลือกประชาธิปัตย์ประกาศชัดๆ ว่าเขาจะไปเลือกตั้ง เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง แม้ไป Vote No

และอย่าลืมนะครับ พวกที่อ้างว่าชาวบ้านโง่ ถูกซื้อ การเลือกตั้งครั้งนี้แทบจะไม่ได้ใช้เงิน ไม่มีใครร้อง กกต.ให้ออกใบเหลืองใบแดง ชาวบ้านออกมาเลือกตั้งโดยไม่ต้องซื้อ เพื่อยืนยันความต้องการประชาธิปไตย และไม่เอาด้วยกับม็อบ (ที่จริงในพื้นที่เสื้อแดง แทบจะปลุกกันว่า ใครเกลียดม็อบให้มาเลือกตั้ง)

โถ ถ้าเชื่อว่าฐานเสียงเพื่อไทยลด ทำไมสื่อไม่ยุให้ ปชป.กับ กปปส.กลับมาลงเลือกตั้งละครับ ตรงกันข้าม พวกเขาเห็นพลังเลือกตั้งครั้งนี้แล้วอาจไม่กล้าลงเลือกตั้งอีกนาน เว้นแต่จะ “ปฏิรูปการเมือง” แก้รัฐธรรมนูญให้มี ส.ส.สรรหาจากสาขาอาชีพ ปล้นอำนาจจากคนจนคนชั้นล่าง พรรคแมลงสาบจึงกล้าลงเลือกตั้งอีกครั้ง เพราะแพ้ก็ยังเป็นรัฐบาลได้หน้าตาเฉยด้วย ส.ส.ลากตั้ง

กปปส.ไม่สามารถอ้างได้หรอกว่า คนไม่ไปเลือกตั้ง คน Vote No คนกาบัตรเสีย เป็นพวกตนทั้งหมด ก็ในเมื่อพวกคุณรณรงค์ไม่ให้คนไปเลือกตั้ง กระทั่ง “น้องเมย์” ไปเลือกตั้งก็ยังด่าทอไม่รักชาติ ครั้นผลเลือกตั้งออกมา กลับตู่ว่าคน Vote No คนกาบัตรเสียเป็นพวกตัว จะเอาไงแน่

ไม่ว่าจะบิดเบือนทำลายความชอบธรรมอย่างไร “พลังเลือกตั้ง” ก็ยังอยู่ และยังเข้มแข็ง ทั้งด้านที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เชื่อมั่นในเหตุผล และด้านที่มีอารมณ์ เกลียดม็อบ กปปส. แม้ส่วนที่แรงกล้า อาจไม่ใช่ทั้ง 20 ล้าน แต่สัก 10 ล้านก็เพียงพอแล้วครับ ที่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่ารัฐประหารรถถัง หรือรัฐประหารโดยศาล

“พลังเลือกตั้ง” เป็นอำนาจต่อรองของประชาธิปไตย สถานการณ์หลังวันที่ 2 ก.พ.จึงเปลี่ยนไป เมื่อเห็นพลังที่แน่ชัด รัฐบาลได้หลังพิง แต่กลุ่มผู้มุ่งหวังล้มล้างประชาธิปไตยก็ยังดันทุรัง หวังล้มเลือกตั้ง หวังล้มรัฐบาลตั้งนายกฯ คนกลาง แทนที่จะหันมาต่อรอง กลับสู่ระบอบร่วมกัน ซึ่งไม่ได้แปลว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้อำนาจเบ็ดเสร็จ

ประชาธิปไตยชนะ ไม่ได้แปลว่าเพื่อไทยได้อำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะถึงอย่างไรเพื่อไทยก็ไม่สามารถใช้ความรุนแรงปราบม็อบ ไม่สามารถบังคับให้จัดเลือกตั้งในภาคใต้ ถึงอย่างไร เพื่อไทยก็ต้องเจรจา จัดสรรอำนาจ ภายใต้หลักที่ผู้มาจากการเลือกตั้งต้องมีอำนาจมากกว่า แต่จะรวบอำนาจไม่ได้ ต้องยอมรับข้อเรียกร้องหลายๆ ประการ

ตรงข้าม ถ้าฝ่ายล้มล้างประชาธิปไตยชนะ พวกเขาจะรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ทำลายล้าง ไม่เหลือพื้นที่ให้ใคร ซึ่งจะตามมาด้วยการแตกหัก รุนแรง นองเลือด หรือสงครามกลางเมือง

แต่ดูท่าทีพวกเขาคงไม่กลัว เพราะเชื่อมั่นว่ากองทัพ ศาล องค์กรอิสระ เครือข่ายชนชั้นนำ เครือข่ายชนชั้นกลาง อยู่ข้างตัว จึงมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องนายกฯ คนกลาง จึงมีการเคลื่อนไหวให้ตีความล้มเลือกตั้ง

ฝ่ายประชาธิปไตยมีแต่มวลชน มีแต่หลักการ เหตุผล และมีนักการเมืองแย่ๆ เป็นรอยด่าง แต่เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องทำสงครามครั้งสุดท้าย อย่างน้อยเรามีพลังเลือกตั้งมากกว่า 20 ล้าน และมี “ประชาธิปไตย” กับ “เหตุผล” ในขณะที่พวกเขาต้องบิดเบือนดันทุรังสุดโต่ง ได้อำนาจไปก็มีแต่ทำลายตัวเอง

                                                                                    ใบตองแห้ง
                                                                                    9 ก.พ.57

สัมภาษณ์ พล.อ สายหยุด เกิดผล 1 ใน คณะ รัฐบุคคล

 

Published on Feb 9, 2014
สัมภาษณ์ พล.อ สายหยุด เกิดผล 1 ใน คณะ รัฐบุคคล

Credit 

กลุ่ม Thai Freedom จัดกิจกรรม ปล่อยลูกโป่ง





กลุ่ม Thai Freedom จัดกิจกรรม ปล่อยลูกโป่ง ขาวที่วงเวียนใหญ่ เพื่อรณรงค์ให้ทุกคนเคารพเสรีภาพ และสนับสนุนการเลือกตั้ง

พร้อมนัดจัดครั้งต่อไปวันพฤหัสบดีที่ 13 ก.พ. 57 เวลา 17.30 ที่ วงเวียนใหญ่ค่ะ/ตรงจากสนามข่าว


สุดยอด ขอระบอบประชาธิปไตยจงเจริญๆๆๆค่ะ

พวกเธอบอกว่า...


> พวกเธอบอกว่า หวงแผ่นดิน 
แต่เธอลุ้นให้ไทยเสียดินแดน #เขาพระวิหาร

> พวกเธอบอกว่า รักสถาบัน
แต่เธอนำสถาบันมาเป็นหอกดาบ ทิ่มแทงอีกฝั่งด้วยคำว่า #ล้มเจ้า

> พวกเธอบอกว่า รักประชาธิปไตย
แต่พอมีเลือกตั้ง พวกเธอกลับ #No_Vote 

> พวกเธอบอกว่า ชุมนุมต้องอหิงสา 
แต่เธอดีใจ ที่มีคนเอาอาก้ามาไล่ยิงอีกฝ่าย

> พวกเธอบอกว่า รักชาติ
แต่เธอชุมนุมปิดถนน ร่วม 100 วัน เพื่อ #พรรคประชาธิปัตย์

> พวกเธอบอกว่า เป็นการต่อสู้ของภาคประชาชน
แต่เวทีเธอมีสุเทพเทือกนักการเมืองจอมโกงเป็นแกนนำ

> พวกเธอบอกว่า ออกมาคัดค้านนิรโทษกรรม
แต่พอนายกถอนร่าง พวกเธอบอก ต้องปฏิรูปการเมืองด้วย

> พวกเธอบอก ต้องปฏิรูปการเมือง
แต่พอรัฐบาลให้มาคุย เธอกลับไม่มา

> พวกเธอบอก กกต.สมชัย ไม่ใช่พวกเธอ
แต่วันก่อนฉันเห็น จัดรายการอยู่ช่องบลูสกาย

> พวกเธอบอก คัดค้านไม่ให้คนออกไปเลือกตั้ง
แต่พอมีเลือกตั้ง พวกเธอกลับไปขัดขวาง

> พวกเธอบอก ฉันออกมาต้านคนโกง
แต่เวทีเธอมีแต่คนโกงขึ้นเวที (ลูกคนขี้โกงก็มีนะ)

> พวกเธอบอก เกลียดนักพวกนักการเมืองขี้โกง
แต่สุเทพและครอบครัวโกงสารพัด เธอลืม ?

> พวกเธอบอก แท็ปเล็ตแจกแล้วเด็กจะโง่
แต่ลูกเธอเล่นไอแพทได้ (ไม่โง่ ?)

> พวกเธอบอก รถคันแรกทำรถติด
แต่ฉันเห็นแต่ผู้ดีจองรถคันแรกกันพรึบ!

> พวกเธอบอก พวกฉันคือมวลมหาประชาชน
แต่พอฉันนับยอดคน สูงสุดที่มาชุมนุม 150,000 คน

> พวกเธอบอก พวกเธอสวย รวย ฉลาด
แต่คนฉลาดอย่างพวกเธอกลับเชื่อคนอย่าง สุเทพ ?

> พวกเธอบอก อยากให้ไทยมี ปชต เต็มใบ
แต่เธอจะตั้ง สภาประชาชน ตามระบอบเผด็จการณ์ฟาสซิสส์ ?

> พวกเธอบอก ชุมนุมไม่มีใครเดือดร้อน
แต่พอมีคนเดือดร้อน ออกมาพูด เธอบอก เป็นขี้ข้าทักษิณ

> พวกเธอบอก ไม่ค่อยชอบรัฐประหาร
แต่ฉันเห็น เรียกร้องทหารออกมาทุกวัน

> พวกเธอบอก เกลียดนักพวก 'ตะกวด' เจอจะตบคว่ำ
แต่ฉันเห็น มีเรื่องทีไร เรียกตำรวจก่อนทุกที

> พวกเธอบอก พวกเธอทำเพื่อชาติ
แต่พอ น้องเมย์ (แบตมินตัน) ออกไปเลือกตั้ง เธอบอก 'อีเมย์' ขายชาติขี้ข้าทักษิณ

> พวกเธอบอก การเลือกตั้งต้องเป็นโมฆะ
แต่คนไปยื่นศาล รธน.กลับเป็น พรรคที่บอยคอตเลือกตั้ง

> พวกเธอบอก การเลือกตั้งไม่ชอบธรรม
แต่จะชอบธรรม ถ้าเป็นโมฆะแล้วประชาธิปัตย์ได้ลง

> พวกเธอบอกว่า รักชาวนา
แต่พอชาวนาจะได้เงินจำนำข้าว พวกเธอบอก ห้าม ธ.ปล่อยกู้

> พวกเธอบอก สุเทพเปรียบดั่งมหาตมะ คานธี
แต่ฉันดูกี่ที ก็อดีตนักการเมืองเหลี่ยมจัด

> พวกเธอบอก อย่าใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง
แต่พอฉันฟัง น้องแป้ง พูดถึงสถาบันบนเวที กปปส แล้วขนลุก

> พวกเธอบอก รักชาติ ต้องออกมาร่วมชุมนุม
แต่พอไม่ออก พวกเธอบอก ขี้ข้าทักษิณ ล้มเจ้า ควายแดง

> พวกเธอบอก ปูโง่ บริหารงานไม่เป็น
แต่เธอคงไม่รู้ ปูบริหาร บมจ มานาน แต่อภิสิทธิ์ไม่เคยบริหารแม้แต่ร้านหมี่เกี๊ยว

> พวกเธอบอก ทักษิณ โกง ปตท.
แต่.....ฉันอยากบอกว่า ใครถือหุ้นใหญ่ แต่ฉันก็พูดไม่ได้

> พวกเธอบอก ทักษิณทำอะไรไม่สำเร็จ
แต่...ถ้าทำสำเร็จต้องเสาโรงพัก ตอหม้อโฮปเวล?

> พวกเธอบอก ปู เป็นทรราช
แต่...100 ศพ เจ็บ 2,000 เธอบอก มาร์คเป็นคนดี

>พวกเธอบอก ปูเพื่อไทยมีแต่กู้ๆๆๆๆๆๆ
แต่ พวกเธอกู้ 600,000 ล้าน ครม fastfood 1 ชม อนุมัติ เธอลืม?

> พวกเธอบอก ต้องพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบัน
แต่...ลุงกำนันของเธอกำลังคิดการใหญ่ ?????????

> พวกเธอบอก น้อมนำพระราชดำรัสมาใช้
แต่...พอในหลวงมีโองการให้เลือกตั้ง พวกเธอไม่น้อมรับกลับขัดขวาง

> พวกเธอบอก พวกเธอรักสถาบันมากกว่าใครๆ
แต่...กลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เป่านกหวีดใส่ขบวนเสด็จ!

> พวกเธอบอก ปฏิรูปการเมืองสันติวิธี
แต่...พวกเธอทำทุกทางเพื่อสงครามกลางเมือง

> พวกเธอบอก คนกรุงเทพ ออกมาร่วมม็อบเยอะ
แต่..ฉันเห็น ขนมาจากใต้ทั้งนั้น

> พวกเธอบอก เฮ้ย!! เป็นคนไทยต้องรักกัน
แต่ ฉันเห็นตำรวจ/แท็กซี่ถูกรุมตืบเยี่ยงสัตว์ป่า

> พวกเธอบอก ปูจำนำข้าวประชานิยม
แต่..แจกเช็คช่วยชาติ ให้ชนชั้นกลางไม่เป็นไร ?

>พวกเธอบอก ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
แต่..หลังเลือกตั้งพวกเธอเพิ่งบอกมวลมหาประชาชนให้ช่วยกันร่างพิมพ์เขียว!

> พวกเธอบอก ปูใส่ชุดอะไรจะไปเป็นพริตตี้หรอ?
แต่..อภิสิทธิ์ใส่หมวกถุงยางอนามัย พวกเธอบอกไม่เป็นไร #น่ารักดี

> พวกเธอบอก เพื่อไทย นปช เป็นนอมินีทักษิณ
แต่... ฉันขอถามเธอสั้นๆแล้วตกลง "ใครกันเป็น ประธาน กปปส? "

ฉันเพลีย กับพวกเธอมากๆ โชคดีของฉัน ที่เลือกยืนตรงข้ามพวกเธอ

.
Credit

เจาะข่าวตื้น 124 : หย่อมความวิปริตสูงหลังเลือกตั้งฯ (full version)

 

Published on Feb 7, 2014

....
เรื่องเกี่ยวเนื่อง

Taking On Thailand’s Crisis With a Bit of Western Bite

By THOMAS FULLER FEB. 8, 2014

Winyu Wongsurawat, left, working on his low-budget political satire show with his sister, Janya Wongsurawat, and Nattapong Tiendee, in their studio in Bangkok on Thursday. 
Agnes Dherbeys for The New York Times
BANGKOK — For their newscast last week, the hosts of “Shallow News in Depth” invited three dancers dressed in the style of the ancient Thai royal court to offer a musical tribute to the head of Thailand’s army: a gesture of appreciation for his apparent refusal to launch a coup.

Gyrating to an incongruous Thai country song, the cast blew kisses to the camera and shouted in unison: “We love you, army chief! Kiss kiss!”

Founded by two Thai-Americans, “Shallow News in Depth” is a low-budget weekly program posted to YouTube that employs a type of Western humor not common in Thailand — acid-laced sarcasm — and draws on the deep well of paradoxes, absurdities and mangled logic of Thailand’s otherwise deadly serious political crisis.

The show has been running for five years but has seen its viewership soar into the hundreds of thousands in recent months as the crisis has escalated.

“If you take seriously everything happening in Thai society, you will go mad,” said Winyu Wongsurawat, the co-host of the show.

Irony is in plentiful supply in Thailand today: A billionaire tycoon is praised as the champion of the poor. A scandal-tainted politician leads a mass movement against corruption. Protesters declare that they need to block elections to save democracy.

The show has drawn inevitable comparisons to “The Daily Show,” the satirical American news show anchored by Jon Stewart.

“Shallow News in Depth” follows a similar format of celebrity interviews, commentary on news and humorous dispatches by reporters on the streets of Bangkok.

But with its ultrafast, chaotic pacing and its silly antics, “Shallow News in Depth” is “Jon Stewart on crack,” in the words of The Bangkok Post, an English-language newspaper.

Mr. Winyu, whose nickname is John, founded the show with his sister, Janya Wongsurawat, the lead writer. Both say doing the show is a type of comedic therapy for a crisis that is wrecking friendships, splitting apart families and raising blood pressure in a land once known for gentle smiles and a knack for compromise.

Mr. Winyu spends hours flipping through Thai news broadcasts to glean material for the show. He says he is rarely disappointed.

“I was watching television two nights ago, and someone was saying that an election was the equivalent of overthrowing democracy,” Mr. Winyu said in an interview in the small, threadbare office that serves as the show’s recording studio. “I was thinking, ‘What? How have we reached this stage?’ “

Thai politics have become such a circus that reality can be hard to trump.

Protesters in Bangkok are vowing to overthrow the government and banish from Thai politics the prime minister, Yingluck Shinawatra, and her billionaire brother, the still-influential former prime minister Thaksin Shinawatra, whose populist policies have made him a hero to many of Thailand’s poor. They are indeed opposing the current election and doing all they can to thwart it.

They have taken over major intersections in Bangkok and blocked people from voting in a number of districts in the city and southern Thailand, enough disruption to delay the election process for weeks, if not months.

In the meantime, Thailand is deadlocked and lacks a fully functioning government.

The cast of “Shallow News in Depth,” which is also hosted by Nattapong Tiendee, an electrical engineer by training, say they are equal-opportunity insulters. The show has ridiculed protesters for calling themselves the “great mass of the people” while blocking elections they knew they would lose. It mocks the protesters’ ceaseless habit of taking “selfies” while protesting.

It portrays Mr. Thaksin, who is in self-exile after being overthrown in a 2006 military coup that helped kick off the present cycle of turmoil, as a satellite orbiting the country.

And it constantly pokes fun at the country’s color wars. Mr. Thaksin’s supporters are known as red shirts, while the movement to oust him was led by so-called yellow shirts. (The crisis has also spawned groups known as black shirts, white shirts and multicolored shirts.) Mr. Winyu once conducted an interview bare-chested to drive home the point that he was not taking sides.

“We are not to be taken seriously,” he said. “We are just clowns.”

Yet underlying the show’s relentless satire and sarcasm are strong doses of social criticism and civics lessons.

Mr. Winyu and Ms. Janya’s father is an American-trained political scientist who met his American wife, also a university professor, while studying in Illinois.

They are not afraid to pursue potentially bone-dry topics, like recent decisions by the country’s Constitutional Court that have left many legal scholars flummoxed.

In November, the court ruled that a constitutional amendment to transform the Senate from a partly appointed body into a fully elected one was an attempt to “overthrow” democracy. That week, the show delved into a lecture about the separation of powers among the judicial, legislative and executive branches. Mr. Winyu pointed out that three of the judges were on the panel that revised the relevant sections of the Constitution in 2007, and thus would have been expected to recuse themselves.

“There’s a conflict of interest? No way!” Mr. Winyu said, with mock horror and disbelief.

Mr. Nattapong, the co-host, says the show has a message. “But it must be a sugarcoated pill.”

The show turned profitable three years ago, said Mr. Nattapong, who manages the business side. Other Internet endeavors the trio have begun make more money, including their most lucrative show, “Beauty Guru,” which offers tips on how to apply makeup.

Running the show on YouTube gives them freedom from the corporate pressures and self-censorship of Thai television networks, Ms. Janya said.

“We would have to tone it down a lot to make it acceptable for TV,” she said. But there are still taboos. Ms. Janya says the show does not touch the subject of the monarchy; laws protecting the royal family have been broadly interpreted by courts in recent years, and penalties can be severe.

The political crisis has been comedic gold, she says, but some Thais are so weary of the crisis that they are eager to disengage from politics altogether.

“How many times can you feature people saying these ridiculous things?” she said.

“Nobody is shocked anymore.”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น