วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กว่าจะถึงนายกฯ คนกลาง เศรษฐกิจคงพังเละ

 

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 23, 2557

กว่าจะถึงนายกฯ คนกลาง เศรษฐกิจคงพังเละ


กว่าจะถึงนายกฯ คนกลาง เศรษฐกิจคงพังเละ แต่น่าเศร้าที่ศุภวุฒิบอกว่านักธุรกิจส่วนหนึ่งก็ (เป่านกหวีด) เชื่อว่ามีนายกฯ คนกลางแล้วจะดีแน่

แม้แต่ญี่ปุ่นซึ่งลงทุนในไทยมายาวนานที่สุด ยังไม่เข้าใจตุ้ม และชะงักการลงทุนไปก่อน ศุภวุฒิบอกว่า บอร์ด BOI หมดวาระพอดีด้วย ต้องรอรัฐบาลใหม่ (แต่พวก NGO ในม็อบคงดีใจต่อต้าน BOI มานานแล้ว)

ประเด็นหนึ่งที่ผมสะกิดใจคือ S&P ประเมินว่า ม็อบจะััยังมีความยับยั้งชั่งใจเมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจจะฉิบหาย ผมไม่เชื่อแฮะ คนไทยไม่เหมือนชาติใดในโลก 55 ปิดสนามบิน ชัตดาวน์กรุงเทพ ถอนออมสินแสนล้าน ก็ทำกันมาแ้ล้ว เหลืออะไรทำไม่ได้อีก


ม็อบส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ มีเงินเดือนกิน ยิ่งได้หยุดงานยิ่งชอบ พนักงานบริษัทใหญ่ก็เชื่อว่ายังไงตัวเองไม่ตกงาน ไฮโซขนหน้าแข้งไม่ร่วง มีส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นคนทำธุรกิจ SME เศรษฐกิจพินาศมันมาลงที่คนจนคนชั้นล่างอยู่ดี


รายงาน อ.จรัล ใน ชิคาโก


โดยผู้สื่อข่าวพิเศษไทยอีนิวส์

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557 อ.จรัล ดิษฐาภิชัย ได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนคนไทยในชิคาโก หลังจากที่ได้เข้าพบปะ กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกา องค์กรเอกชนที่สนใจประเทศไทย สื่อ ตลอดจนคนไทยในกรุงวอชิงตัน ดีซี

อ.จรัลได้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของงานทางต่างประเทศ หรืองานทางสากล ซึ่งปัจจุบัน ได้มีประเทศไม่ตำ่กว่า 53 ประเทศที่สนับสนุนแนวทางประชาธิปไตยที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ปฏิบัติอยู่ และไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารทุกรูปแบบ รวมทั้งโดยตุลาการ หรือ องกรณ์อิสระต่าง ๆ ซึ่งในปี 49 มีแค่ 3 ประเทศที่ออกมาคัดค้านการทำรัฐประหาร

เจ้าหน้าที่ที่อ.จรัลได้เข้าพบ มีความกังขาในความเข้าใจยากของการเมืองไทย ม็อปของ กปปส.ได้ทำการปิดล้อมทำเนียบ สถานที่ราชการ ชัชดาวกรุงเทพฯแรมเดือน แต่ยังดำรงค์อยู่ได้ ซึ่งในสหรัฐอมริกา เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนไม่ยอมที่จะให้ถูกปิดแม้แต่หนึ่งนาที

ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏในโลก

อ.จรัลได้ชี้แจงให้ผู้สนใจการเมืองไทย ทั้งไทยและชาวต่างประเทศให้เข้าใจว่า 

70-80% ของผู้เข้าร่วมกับ กปปส. เป็นคนเสื้อเหลือง ซึ่งกดเก็บความรู้สึกมานานเป็นปี หลังจาก พรรคเพื่อไทย และนายกยิ่งลักษณ์ได้กลับเข้ามาบริหารประเทศ

80% ของคน 14 ตุลาฯ ซึ่งต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในอดีตเป็นเหลือง

ส่วนใหญ่ของอดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ และอดีตคอมฯเป็นเหลือง

นักธุรกิจ ผู้ดีเก่า อดีตขุนนาง  เข้าร่วมกับ กปปส.

คนเหล่านี้ หลายคน ความคิดหยุดอยู่กับที่ตั้งแต่ 19 กย. 2549

สาเหตุที่นายกยิ่งลักษณ์สามารถอยู่มาได้กว่า 2 ปี เกินความคาดหมายเพราะ

1.  ได้รับความนิยมจากประชาขนสูง 

2.  สามารถปกป้อง รัฐบาล ครม. พรรคเพื่อไทย ได้ และได้ปฎิบัติตามนโยบายอย่างได้ผล

3.  มีความสัมพันธ์อันดีกับสถาบันกษัตริย์ และทหาร

4.  มีนปช. คนเสื้อแดง และผู้รักประชาธปไตย คอยปกป้องสนับสนุนรัฐบาล

แนวโน้มการเมืองในอนาคต 

สุเทพพยายามก่อความรุนแรง ให้แตกหัก ให้จบ

จะมีการขัดขวางการเลือกตั้งในเขตุที่ยังเลือกตั้งไม่ได้ ไม่ให้ครบ 95%

มีการหาข้อยุติความขัดแย้งผ่านการเจรจา

มีรัฐประหารโดยทหาร หรือรูปแบบอื่น ๆ เกิดขึ้น

สุดท้าย อ.จรัลเน้นให้เห็นความสำคัญของต่างประเทศที่สนับสนุนประชาธิปไตย 


และพลังของคนเสื้อขาวที่ออกมาจุดเทียน ปล่อยลูกโป่ง เรียกร้อง Respect My Vote บก.ลายจุด 

คนเหล่านี้ และประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง มีบทบาทสำคัญมากในการรักษาระบอบประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้


มุมมองของคนไม่ชอบพท.คนหนึ่งในเน็ต

http://pantip.com/topic/31644353

มองแบบแฟร์ๆจากคนไม่ชอบพรรคเพื่อไทยคนนึง ไม่ถูกใจโปรดอย่าด่าผมเป็นเสื้อแดงเป็นทาสทักษิณนะครับ 

1 ปิดกรุงหนนี้ยิ่งนานกำนันจะยิ่งหมดความชอบธรรม คนเค้าทำงานเช้ายันเย็นเหนื่อยจะตายอยู่แล้วมาเจอม็อบปิดถนนอีก ต้องเจอรถติดเป็น ชม ทุกเย็น จะรอดูเหมือนกันว่าเมื่อไรคนกรุงที่ออกกลางๆหรือพวกที่เคยเงียบมานานจะตบะแตกและน็อตหลุดกับเรื่องบ้าๆนี้

2 เศรษกิจ กทม เริ่มเน่าแล้วจร้า พวกที่ยังไปเย้วๆไม่รู้สึกรู้สาส่วนใหญ่ถ้าไม่รวยอยู่แล้วก็เป็นหนักงานเงินเดือน พวกนี้ไม่สนไรหรอกบ้านมีตังค์ใช้เหลือเฟือหรือทุกเดือนบริษัทก็จ่ายเงินเดือนให้อยู่แล้ว แต่พวกเจ้าของธุรกิจที่ยังไม่รวยแบบเหลือเฟืออย่างผมเนี่ยดิ เห็นแล้วว่าเศรษฐกิจเริ่มเน่าแล้ว รู้ไหมที่ platinum น่ะเจ้าของร้านเค้ารวมตัวกันส่งหนังสือถึงเจ้าของตึกให้ช่วยเยียวยาหรือหยุดเก็บค่าเช่าชั่วคราวแล้วนะ เซียนๆทั้งหลายเริ่มไม่ไหวแล้ว หุ้นก็ร่วงระนาว LTF จากที่เคยกำไร 20000 ตอนนี้ขาดทุน -40000 แล้ว ไปๆมาๆกำนันทำลายเศรษฐกิจมากกว่าระบอบทักษิณอีกโว้ย! 

3 ช็อตที่พวก กปปส ไปขวางการเลือกตั้ง ถ้าไม่ตาบอดไม่เสียสติคลั่งกำนันก็เห็นกันชัดๆว่าพวกบ้าพวกนั้นมันไปขวางไม่ยอมให้คนเข้าไปเลือกตั้ง คือแบบ .. พวกที่ยังบอกว่า กปปส ไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง พวกคุณแม่ stupid กว่าพวกฟายแดงอีก ทั้งๆที่คุณมีการศึกษามากกว่าพวกรากหญ้าที่คุณด่าเค้าว่าเป็นฟายเป็นไร แต่เรื่องนี้กลับเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แต่สำหรับคน กทม ที่สมองไม่ได้มีแค่ไว้คั่นหูเค้ารู้เค้าเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ล่ะ เสียมวลชนไปเยอะพูดตรงๆ 

4 พวกดาราหน้า Ngo ที่ขึ้นเวทีไปโชว์ความกลวง ทำให้คนที่เค้ามองอะไรกลางๆด้วยเหตุและผลนั้นเห็นเลยว่าพวกไฮโซดาราชื่อดังระดับประเทศบางคนก็บิงโกไม่ต่างจากทอม ดันดี หรือบ้าระห่ำไร้เหตุผลอย่างเมธี พอๆกันอ่ะ ไม่ได้รู้จริง ขึ้นเวทีก็อ้างเจ้าพล่ามนู้นนี่นั่น ทำให้รู้เลยว่าเพลอๆ คนกรุงหล่อๆสวยๆที่ไปชุมนุมโพสท์ IG กันน่ะก็ไม่ได้รู้เรื่องการเมืองอะไรมากไปกว่าคนบ้านนอกที่แม่มชอบดูถูกกันหรอก 

5 ไม่ว่าผลสุดท้ายกำนันจะชนะหรือแพ้ จะแก้รัฐธรรมนูญกันกี่หน ตราบใดที่ประเทศไทยยังมีการเลือกตั้ง ประชาธิปัตย์จะไม่มีวันได้เป็นรัฐบาลอีกต่อไป คนเค้าเห้นกันหมดแล้วว่าพวกคุณน่ะแสบไม่แพ้แก๊งค์ระบอบทักษิณ รัฐบาลเพื่อไทยจะโกงจะทำบ้าทำบอไร มันก็ไม่บ้าเท่ากับที่พวกคุณทำ จบเกมแล้ว ทางเดียวที่คุณจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลคือให้ทหารเอารถถังออกมา 

ผมทำใจแล้วกับการจะได้เห็นพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล ได้เห็นคนอย่างจ่าประสิทธิ์ ณัฐวุฒิ เฉลิม ได้อยู่ในสภาไปจนตาย .. ก็เพราะพวกคุณนั่นแหละพรรค ปชป ที่ดันไม่จริงใจทำเรื่องดีๆเพื่อชาติบ้านเมือง เอาแต่เล่นการเมืองจนมันกลายเป็นแบบนี้ เซ็งโว้ย!

Credit

กระฎุมพีไทย


ในยุโรป กระฎุมพีถือกำเนิดนอกระบบศักดินา แล้วลิดรอนอำนาจศักดินาลง

ในเมืองไทย กระฎุมพีถือกำเนิดภายใต้ระบบศักดินา แล้วร่วมมือกับศักดินาจนมั่งคั่ง เมื่อเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยก็ร่วมมือกับเผด็จการทหาร เพื่อความมั่งคั่งส่วนตนเพิ่มขึ้นอีก แล้วตั้งหน้าตั้งตาจะแช่แข็งประเทศไทย โดยไม่เอาเลือกตั้ง จะได้กอบโกยสะดวก

ผมอ่านอย่างมึนๆ เพราะพื้นความรู้ไม่พอ เลยจำอย่างกระท่อนกระแท่นจากข้อเขียนของ อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่องกบฏกระฎุมพี ตอนแรกสุดในมติชนรายวัน (ฉบับวันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 หน้า 6) ซึ่งยังมีอีกยาว

กระฎุมพีไทย หมายถึง คนชั้นกลางในตระกูลที่เติบโตและอยู่รอดได้ดีทางเศรษฐกิจมาพร้อมกับนโยบายพัฒนาของระบอบสฤษดิ์ ธนะรัชต์

“ซ้ำมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายใต้เผด็จการทหารที่ทำลายร่องรอยของสถาบันประชาธิปไตยจนหมดสิ้นอย่างเปิดเผย 

คือภายใต้ระบอบสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กระฎุมพีขยายตัวอย่างมโหฬารทั้งด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกำลังคนที่แปรผันตัวเองไปสู่ความเป็นชนชั้นกระฎุมพี สร้างวัฒนธรรมที่มีตลาดภายในรองรับ (บนจอทีวี, โรงหนัง, แผ่นเสียง และสิ่งพิมพ์ และนี่คือตระกูล ‘ผู้ดีใหม่’ ของปัจจุบัน)

ในทุกวันนี้ หากให้กระฎุมพีไทยหวนรำลึกถึงยุคทองของตน หลายคนคงฝันถึงเผด็จการที่ตอบสนองผลประโยชน์ของตน (แม้ต้องแบ่ง ‘ค่าเช่า’ ให้บ้าง) ในยุคเผด็จการทหารของระบอบสฤษดิ์

เพราะหลังจากระบอบนี้ถูกทำลายลงในเหตุการณ์ 14 ตุลาแล้ว บ้านเมืองก็ไม่เคยราบเรียบแก่การทำกำไรอย่างนั้นอีก นอกจากภายใต้การกำกับของกองทัพเบื้องหลัง เช่น สมัยประชาธิปไตยครึ่งใบ”

กรุงเทพฯเติบโตทางกายภาพสู่ความเป็นสมัยใหม่อย่างไม่พัฒนา ก็ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ด้วยการถมคูคลองของ“เวนิสตะวันออก” แล้วตัดถนนขนาดใหญ่ ทำลายความเป็นเมืองเก่าที่ร่มเย็นด้วยแมกไม้จนเหี้ยน

นับแต่นั้นกระฎุมพีไทยก็ไม่ไยดีกับประวัติความเป็นมาของกรุงเทพฯ (ของเมืองอื่นๆ ในไทยก็ไม่ไยดี) ยกเว้นทำดราม่าฟืดฟาดฟูมฟายโหยหาเป็นครั้งคราว ให้ดูดีมีสกุลรุนชาติ 

ถ้าม็อบกระฎุมพีไทยคิดได้ แล้วอยากรู้ประวัติความเป็นมาของกรุงเทพฯ ขอแนะนำให้ดูจากหนังสือ 2 เล่ม ฉบับอ่านง่ายๆ สบายมากๆ คือ

กรุงเทพฯ มาจากไหน? และ กรุงเทพฯ กรุงธนฯ มีภูมิสถาน ชื่อบ้านนามเมือง



เรื่องเกี่ยวข้อง

กบฏกระฎุมพี (1): มติชนรายวัน 10 ก.พ. 2557
กบฏกระฎุมพี (2): มติชนรายวัน 17 ก.พ.2557

ธงชัย วินิจจะกูล: THE KINGMAKERS


เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สองใกล้เสด็จสวรรคต กลุ่มเจ้านายและขุนนางในขณะนั้นเห็นว่าราชบัลลังก์สมควรเป็นของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองค์โตผู้มีอิทธิพลและบทบาทในราชสำนักเรียบร้อยแล้ว

แต่ทว่าทรงประสูติจากพระสนม เจ้าฟ้ามงกุฎพระราชโอรสพระองค์แรกในสมเด็จพระบรมราชินีศรีสุริเยนทรามาตย์ ทว่าพระชันษาอ่อนกว่าถึง 16 พรรษา จึงเสด็จออกผนวชก่อนพระราชบิดาสวรรคตไม่กี่วัน

และทรงอยู่ในสมณเพศต่อมา 27 ปี

เมื่อสิ้นรัชกาลที่สาม ราชบัลลังก์มิได้ตกเป็นของเจ้าฟ้ามงกุฎโดยอัตโนมัติ แต่ในที่สุดกลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ในขณะนั้นเห็นสมควรถวายราชบัลลังก์แด่พระองค์ท่าน พระองค์ทรงครองราชย์ต่อมาอีก 18 ปี

โดยทรงตระหนักตลอดเวลาถึงอำนาจและความสำคัญของกลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ดังกล่าว

ดังนั้นก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สี่จะเสด็จสวรรคต ไม่มีผู้ใดรู้ชัดเจนเลยว่า ราชบัลลังก์จะตกทอดสู่เจ้าฟ้าพระองค์ใด พระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเลือกด้วยพระองค์เองแต่อย่างใด กลุ่มขุนนางกุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินไว้เต็มที่ ในขณะที่เจ้าฟ้าทุกพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ในที่สุดกลุ่มขุนนางผู้มีอำนาจ ตัดสินใจถวายราชบัลลังก์แด่เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ 

แต่ด้วยทรงพระเยาว์ กลุ่มขุนนางจึงสถาปนาตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน มีอำนาจทางการเมืองสูงสุดอย่างแท้จริงตลอด 15 ปีแรกของรัชสมัย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า ทรงตระหนักดีถึงสภาวะดังกล่าว ทรงแสดงความคับข้องพระราชหฤทัยไว้ในหลายโอกาส (ดังที่นักประวัติศาสตร์ทราบกันดี)

พระองค์ต้องทรงต่อสู้ต่อรองและรอโอกาสต่อมาอีกนาน กว่าที่พระองค์จะทรงสามารถรวบรวมพระราชอำนาจได้เข้มแข็ง บางครั้งความขัดแย้งปะทุจนเกือบเป็นความพินาศดังเช่นวิกฤตการณ์วังหน้าในปี 2417

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าเสด็จสวรรคต การสืบทอดพระราชบัลลังก์เป็นไปโดยราบรื่น เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดไว้เรียบร้อยก่อนหน้านั้นหลายปี แต่ทว่ากลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ที่สืบทอดอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินต่อมากลับไม่สามารถทำงานร่วมกับพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ได้อย่างราบรื่น ความขัดแย้งตึงเครียดนำไปสู่การโยกย้ายถอดถอนผู้ใหญ่เหล่านั้น หรือเจ้านายและขุนนางเหล่านั้นหลายท่านสมัครใจถอนตัวไปเอง ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นดำเนินต่อมาตลอดรัชกาล 

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดขึ้นครองราชย์ด้วยแรงสนับสนุนของพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งมิได้ทรงเตรียมพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์

การบริหารราชการแผ่นดินยิ่งต้องอาศัยพระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่เหล่านั้น

เมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เผชิญหน้ากับกระแสประชาธิปไตยที่ก่อตัวในหมู่ปัญญาชนผู้มีการศึกษา

ผู้มีบารมีและอิทธิพลในระบอบเดิมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญไม่น้อยไปกว่าพระเจ้าอยู่หัวเองในการถ่วงรั้งไม่ยอมให้สามัญชนมีอำนาจมากไป ด้วยเห็นว่าสามัญชนยังด้อยการศึกษา ขาดความรู้ความเข้าใจ ยังไม่พร้อมปกครองตนเอง

อวสานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในแง่หนึ่งคือ ผลของระบอบการเมืองของผู้มีบารมีเหล่านี้ ซึ่งแวดล้อมพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในขณะนั้น

หลัง 2475 ผู้นำของคณะราษฎรขัดแย้งกับกลุ่มเจ้าอย่างหนัก ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสยบฝ่ายเจ้าสำเร็จ ผู้นำคณะราษฎรจึงอยู่ในฐานะผู้กำหนดชะตากรรมของราชบัลลังก์เสียเอง

ซึ่งหมายถึงการจำกัดบทบาทอำนาจของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ให้ออกพ้นไปจากการเมืองโดยสิ้นเชิง

ทว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดี พนมยงค์ จำต้องสามัคคีฝ่ายเจ้าในการต่อสู้กับฝ่ายจอมพล ป. พิบูลสงคราม

พลังอำนาจฝ่ายเจ้าจึงกลับฟื้นคืนมาใหม่เมื่อสิ้นสงคราม ในที่สุดฝ่ายเจ้าจึงกลับตลบหลังปรีดี จนกลายเป็นกลุ่มที่มีอำนาจสูงร่วมกับทหารหลังรัฐประหาร 2490 ถึง 2494

ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในขณะนั้น และองคมนตรีมีบทบาทและอำนาจสูงมากตามรัฐธรรมนูญ 2492

นอกจากจะทรงเป็นผู้ดูแลพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันในระหว่างทรงพระเยาว์แล้ว กลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้จงรักภักดีกลุ่มนี้ เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกสถานภาพของพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันเป็นที่มาของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่มั่นคงแข็งแรงทุกวันนี้

ในด้านหนึ่ง เราตระหนักดีถึงความสำคัญของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อสังคมไทย ในอีกด้านหนึ่งครั้นเราพิจารณาระบอบการเมือง เรามองเห็นแต่รัฐบาล ทหาร พลเรือน และนักการเมืองคอร์รัปชัน เรามักมองข้ามความจริงง่ายๆ ว่า ประวัติศาสตร์ตามที่เล่ามาข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองและระบอบการเมืองตลอดมา สถาบันกษัตริย์ผู้ทรงอยู่เหนือการเมืองและบรรดาผู้ใหญ่ผู้มีบารมี มีความสำคัญทางการเมืองมากอย่างปฏิเสธไม่ได้

คนเหล่านี้บางครั้งก็มีอำนาจทางการเมืองเปิดเผยโดยตรง บางครั้งก็มีในรูปของบารมีอิทธิพลโดยไม่จำเป็นต้องลงมาเกลือกกลั้วกับการบริหารราชการโดยตรง คนเหล่านี้แต่ก่อนจัดว่าเป็นเจ้านายและขุนนาง ต่อมาจัดเป็นกลุ่มองค์กรทางการ เช่น อภิรัฐมนตรี องคมนตรี หรือสภาที่ปรึกษาต่างๆ นานา คนเหล่านี้มีบทบาทอิทธิพลต่อการสืบราชบัลลังก์มาตลอดประวัติศาสตร์ ซึ่งทุกครั้งมีผลกระทบต่อระบบการเมืองที่ดำเนินอยู่ เพราะภารกิจสำคัญสุดยอดของผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้ คือการจัดการให้ระบบการเมืองอยู่ในสภาวะตามที่พวกเขาประสงค์ ตามความเชื่อ (อุดมการณ์) ของพวกเขาว่าจะเป็นระบบที่เอื้ออำนวยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปชั่วกาลนานและเอื้ออำนวยต่อผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้เองในระยะเปลี่ยนผ่านราชบัลลังก์

ภายหลัง 2475 ระบบการเมืองที่คนกลุ่มนี้ประสงค์ไม่ใช่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกต่อไป แต่คือระบอบประชาธิปไตยตามแนววัฒนธรรมไทยที่รักษาบทบาทพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะ "อำนาจทางศีลธรรม" เหนือการเมืองสกปรกดีๆ ชั่วๆ ของคนธรรมดา

ยิ่งเข้าใกล้ระยะสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้ยิ่งต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าความเปลี่ยนแปลงสำคัญอยู่ในวิสัยที่ตนสามารถกำหนดควบคุมได้ จะปล่อยให้ใครมีอำนาจมากแต่นอกลู่นอกทางที่ตนประสงค์ไม่ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องในอดีตทั้งสิ้น

000

หมายเหตุ


ตีพิมพ์ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ 18 ตุลาคม 2549

เกลียดความอยุติธรรมแต่รักเพื่อนมนุษย์


ผมรักเพื่อนมนุษย์ได้ถ้าเป็นคนทั่วไป ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ชีวิตและปัญหาคล้ายๆกัน ความดีความเลวปนกันไป

แต่สำหรับผู้นำขบวนการชั่วร้าย และบุคคลจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตทั้งหลาย ผมยอมรับว่ารักไม่ลง แต่ถ้าเขากลับใจ สำนึกผิด พยายามชดเชยความผิด ผมพอรักได้


ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ


ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ 
ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ 
ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ 
ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ ใจดำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น