วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จำกัด พลางกูร: ภารกิจเพื่อชาติ เสรีไทยในวันที่ถูกลืม

 

จำกัด พลางกูร: ภารกิจเพื่อชาติ เสรีไทยในวันที่ถูกลืม

ศ.ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา: เรื่องของเสรีไทยไม่ได้รับการให้ความสำคัญเท่าที่พวกเขาสำคัญอย่างแท้จริง เพราะเรื่องเอกราชของประเทศเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มี ผมว่าเราก็ต้องถูกยึดครองเหมือนประเทศผู้แพ้สงครามทั้งหลาย และอาจถูกแบ่งแยกประเทศ ฝ่ายนั้นจะเอาส่วนนี้ ฝ่ายนี้จะเอาส่วนนั้น อย่างน้อยก็เสียเอกราช

เพราะอาจารย์ปรีดีฯ และคณะของเขาพ่ายแพ้ทางการเมืองหลังจากรัฐประหาร 2490 ซึ่งพรรคพวกของท่านก็ถูกลอบฆ่าบ้าง จนท่านก็ต้องหนีออกนอกประเทศ กลายเป็นว่าเรื่องนี้ไม่พูดกันเท่าไหร่ เพราะถ้าพูดถึงเสรีไทยก็เท่ากับว่ายกย่องฝ่ายอาจารย์ปรีดีฯ

เรื่องกระบวนการเสรีไทยเป็นเรื่องที่คนไทยทุกหมู่เหล่าได้ประสานร่วมแรงร่วมใจกันเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ เป็นการปรองดองกันของคณะราษฎรกับคณะฝ่ายเจ้าเพื่อเอกราชของประเทศ

ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา

ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา

ผมชอบฉากการตกลงของคุณจำกัดฯ กับหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ นะ เพราะเป็นภาพที่สวยงาม เป็นการร่วมมือของสองฝ่ายระหว่างฝ่ายเจ้า ฝ่ายคณะราษฎรซึ่งมีความหมายที่รวมทั้งคนชั้นกลาง ประชาชนทั่วไป เป็นการเข้าใจกันอย่างดีของทั้งสองด้านโดยยึดหลักเอกราช ประชาธิปไตย และความเจริญของประเทศ และมีการตกลงจริง ตัวแทนจริงของทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งคือพระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงสนิท สวัสดิวัตน และอีกฝ่ายหนึ่งก็คือคุณจำกัด พลางกูรซึ่งเป็นตัวแทนของคนชั้นกลางในเมือง และประชาชนธรรมดาสามัญในประเทศที่มีนายเตียง ศิริขันธ์เป็นตัวแทนซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคุณจำกัด มันเกิดขึ้นจริงและเราก็แสดงตามที่มันเป็นจริง ภาพนี้มันสวยงามมาก

นายฉันทนา (มาลัย ชูพินิจ) ก็ได้เขียนเรื่องราวนี้ขึ้นด้วย ซึ่งเป็นภาพที่เขาตื้นตันใจ เป็นภาพที่สวยงามมากที่บอกว่า “ในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ จำกัดได้พบทั้งมือที่พร้อมสำหรับกางออกต้อนรับ และใจซึ่งพร้อมจะสนับสนุนแผนการและอุดมคติของเขาอย่างเต็มที่ ในเจ้าชายเชื้อพระวงศ์องค์นี้ เขาได้พบคนไทยที่บูชาประชาธิปไตย”

ผมคิดว่ามันเป็นฉากที่เกิดขึ้นจริง และมันก็ไม่ใช่ utopia ที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปได้ เมืองไทยจะไปได้ดี และผมหวังว่าเมืองไทยจะไปตามฉากนี้

ท่านศุภสวัสดิ์ฯ ยอมรับหลักการของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของ 2475 ที่อยากให้ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ทรงอยู่เหนือการเมือง ซึ่งท่านเป็นเจ้าที่ยอมตามคณะราษฎร ซึ่งมันมีอยู่จริงในบันทึกประจำวันของจำกัดนะ (อ่านเพิ่ม..ที่มาที่ไปของละครเวทีเพื่อชาติ เพื่อ humanity)

ปรีดี พนมยงค์

รับบทบาทโดยสุรเดช สุวรรณโมรา ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโทรคมนาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิศวกรชำนาญการ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (AIS)

คุณสุรเดช สุวรรณโมรา รับบทบาทเป็นปรีดี พนมยงค์

คุณสุรเดช สุวรรณโมรา รับบทบาทเป็นปรีดี พนมยงค์

Background บทบาทที่ได้รับและความรู้สึกหลังได้รับหน้าที่นี้ การได้รับบทบาทนี้ ผมรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะท่านอาจารย์ปรีดีเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อประเทศอย่างมากตั้งแต่ 2475 อภิวัฒน์ เปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย จนก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประชาชนขึ้นมา กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองท่านอาจารย์ปรีดี ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นหัวหน้าคณะเสรีไทย  ขณะที่ญี่ปุ่นประชิดดินแดนของประเทศไทยซึ่งตอนนั้นได้กรีฑาทัพมาไทยเพื่อจะไปยังมลายูของอังกฤษรวมทั้งพม่าเองด้วย

ในช่วงที่ท่านยังอยู่ในคณะของผู้นำประเทศ ท่านอาจารย์ปรีดีได้ถูกเชิญไปยังต่างประเทศของคณะสัมพันธมิตร ท่านได้เห็นยุทโธปกรณ์ของสัมพันธมิตรว่ามีความพร้อม มีการผลิตเองแบบ mass production

ระหว่างนั้นนั้นก็เกิดความขัดแย้งกับคณะผู้นำประเทศ หรือจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพราะจอมพล ป. ยินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทย แต่ท่านอาจารย์ปรีดีไม่เห็นด้วย ท่านพยายามทำภารกิจอย่างลับๆ เพื่อทำให้สัมพันธมิตรเชื่อว่า เราไม่ได้ร่วมมือกับอักษะหรือญี่ปุ่น ซึ่งท่านอาจารย์ปรีดีโดยพื้นฐานนั้นมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล และยึดประโยชน์ของชาติเป็นหลัก การที่ญี่ปุ่นได้ประชิดเข้ามา สร้างความหวาดระแวงให้ประชาชนอย่างมาก

ท่านอาจารย์ปรีดียึดประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ท่านก่อตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นมา คือองค์การคณะเสรีไทยตามเจตนารมณ์ของท่านคือ หนึ่งเพื่อต่อสู้ญี่ปุ่นเพื่อรุกรานโดยกำลังอาวุธซึ่งเป็นสายภายในประเทศคือชาวบ้านที่เป็นกองกำลังที่แท้จริงของประเทศ สองเพื่อร่วมมือกับสัมพันธมิตรและทำให้เชื่อว่าเรามีกองกำลังที่เป็นจริง

ท่านอาจารย์ปรีดีได้หล่อหลอมคนในประเทศที่มีหลากหลายชนชั้นอาชีพขึ้นมาเป็นกองกำลัง หรือแม้แต่เจ้าหรือหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็ได้มาสนับสนุนท่านด้วย โดยมีภารกิจเพื่อชาติเป็นหลัก คือทำอย่างไรที่จะเจรจากับสัมพันธมิตรให้ได้ว่าเราไม่ได้เข้าข้างฝ่ายอักษะ

ละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครเวทีที่พลิกประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมา ซึ่งผู้คนอาจจะหลงลืมไปหรือพยายามบิดเบือนและไม่เคยรู้ ฉากที่ผมประทับใจที่สุดคือฉากที่เริ่มก่อกำเนิดเป็นคณะเสรีไทย หรือฉากที่มีคณะราษฎรที่เข้ามารวมตัวกันเป็นพันธกิจแรก องค์การนี้ประกอบด้วยคนไทยที่รักชาติทุกชนชั้นวรรณะทั้งภายในและต่างประเทศ

บันทึกของจำกัด พลางกูร ขณะที่ได้รับมอบหมายจากท่านปรีดี พนมยงค์ให้ไปปฎับัติภารกิจเพื่อชาติ

ถ้าได้อยู่ในสมัยนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างทิ้งไว้ข้างหลัง ขอให้ทำเพื่อชาติที่ยังคงเอกราชและอำนาจอธิปไตยไว้ได้ ละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเสียสละของคนในชาติที่ไม่ได้มีเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่เป็นกลุ่มก้อน แม้กระทั่งคุณจำกัดฯ เองก็ทิ้งครอบครัว หน้าที่การงานเพื่อไปปฏิบัติภารกิจนี้ โดยที่เขาไม่รู้หรืออาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าอาจจะไม่สามารถรอดชีวิตจากภารกิจครั้งนี้ได้ แต่เขาก็ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจนี้เพื่อเอกราชและอธิปไตย

คำสำคัญที่อาจารย์ปรีดีฯ ได้พูดกับคุณจำกัดคือ “เคราะห์ดีที่สุดอีก 45 วันคงได้เจอกันและเคราะห์ไม่ดีนักก็อีก 2 ปีคงได้เจอกัน แต่เคราะห์ร้ายที่สุดก็ถือเสียว่าสละชีวิตเพื่อชาติไป” เพราะอาจารย์ปรีดีฯ ก็เคยส่งคนไปทำภารกิจนี้ก่อนหน้าแล้วแต่ผู้คนเหล่านั้นก็สูญหายไป เรื่องนี้ให้แง่คิดในลักษณะที่เห็นได้ชัดว่า คนเราต้องมีความเสียสละเพื่อบ้านเมือง ซึ่งสมัยก่อนผมคิดว่ามีแน่ แต่สมัยนี้ที่คิดถึงประเทศชาติและประโยชน์ส่วนรวมนั้นถือว่าหาได้ยากมากในสมัยนี้

แรงบันดาลใจจากการได้เล่นละครเวทีเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของผมมีกลิ่นอายที่เป็นสายเลือดของเสรีไทย เนื่องจากคุณตาทวดของผมก็เป็นเสรีไทยในสายคุณเตียง ศิริขันธ์ เป็น 1 ใน 18 คนที่ถูกยัดเยียดให้เป็นกบฏแบ่งแยกดินแดนในสมัยนั้น ที่ทางการต้องการจับตัว เพราะคุณตาทวดผมก็เป็นกองกำลังที่เป็นจริงของคณะเสรีไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลภูพานนั่นเอง สมัยนั้นทุกคนก็ทำภารกิจละทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงานไว้ เพราะทำสิ่งใดก็ได้ที่จะเพื่อชาติให้ได้เอกราชกลับมา

ช่วงนั้นคงมีทุกอารมณ์ทั้งความหวาดกลัว หวาดระแวงว่า เราจะยังมีชาติอยู่ไหม เราจะเป็นทาสของนานาประเทศที่เข้ามาล่าอาณานิคม ซึ่งทุกคนถ้ากลัวตายคงไม่ทำภารกิจนั้น เสียสละชีวิตแม้กระทั่งความตายได้ เพื่อปฏิบัติภารกิจ และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่อยากเล่นบทบาทนี้เพื่อให้ลูกหลานของท่าน แม้กระทั่งคนที่ศรัทธาท่านได้เห็นว่าท่านปรีดีมีความสำคัญ มีคุณูปการต่อประเทศอย่างไร

ท่านคิดอ่านวิเคราะห์ท่านสังเกตและมองการณ์ไกลอย่างไร คิดเผื่อสำหรับประเทศไว้แบบใด คิดแล้วลงมือทำก็ประสบความสำเร็จได้

ละครเรื่องนี้จรรโลงใจว่า การเสียสละเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กัน เอาประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เหตุการณ์ที่ผ่านมาทิ้งบทเรียนที่นำไปปรับใช้กับปัจจุบันได้

ดูละครให้ย้อนดูตัว ว่าเราเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อบ้านเมือง เพื่อชาติได้หรือยัง?

จำกัด พลางกูร

รับบทบาทโดยเสมอไหน เพ็งจันทร์ ปริญญาตรีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังศึกษาปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยของ Sasin Institute for Global Affairs (SIGA) ภายใต้สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การได้รับบทบาทนี้ เริ่มจากเขาเปิดให้แคส ซึ่งเดิมเลยก็ไม่ค่อยรู้จักข้อมูลของคุณจำกัดนัก รู้จักแต่เพียงเรื่องของอาจารย์ปรีดีและหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ บ้าง จากนั้นได้อ่านหนังสือเพื่อชาติเพื่อ humanity ก็รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มีความสำคัญจังเลยต่อประวัติศาสตร์ก็เลยสนใจ แคสอยู่นานมาก และสุดท้ายอาจารย์ก็บอกว่าไม่ได้ คือคุณเรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์มารับบทบาทคุณจำกัดฯ

คุณเสมอไหน เพ็งจันทร์รับบทบาทเป็น จำกัด พลางกูร

คุณเสมอไหน เพ็งจันทร์รับบทบาทเป็น จำกัด พลางกูร

จากนั้น อาจารย์ถามว่าคุณยังจะเล่นบทอื่นอยู่หรือเปล่า ก็เลยตอบไปว่า ถ้าไม่ใช่บทคุณจำกัดฯ ก็ไม่เล่น แต่ให้ช่วยอะไรก็ช่วย จึงได้รับบทเป็นครูเตียง แต่ด้วยเงื่อนเวลาของเจมส์ฯ ไม่ได้ จนสุดท้ายอาจารย์ ผู้กำกับ และผู้ช่วยผู้กำกับเรียกไปคุยกันบอกว่าพวกเรามีมติให้คุณรับบทคุณจำกัด ซึ่งเดิมก็คิดว่าไม่ได้เล่นแม้จะคาดหวังลึกๆ อยู่บ้าง

พอได้รับเล่นบทคุณจำกัดแล้ว ความกดดันมันยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นบทที่ยากมาก เพราะคุณจำกัดฯ ที่เรารับบทคือคนทั่วไปที่มีอารมณ์โกรธหรือฉุนเฉียว ไม่ได้ถูกประกอบสร้างให้เขาต้องเป็นวีรบุรุษ หรือฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบมากๆ แต่พอได้สัมผัสและได้อ่านบันทึกประจำวันของเขา จึงเรียนรู้ว่าคนนี้ไม่เหมือนกับคนทั่วไปตรงที่มีความรักชาติอยู่มาก

สิ่งที่สะกดเขาไว้ว่า เพื่อชาติเขาต้องไปต่อ แต่ถามว่ามีวอกแวกหรือคิดถึงภรรยาไหม ก็มีบ้าง แต่คำว่าเพื่อชาติคำเดียวที่อาจารย์ปรีดีฯ ฝากไว้ ทำให้เขาสู้ต่อไป

เขามีความรู้สึกที่หลากหลาย เป็นพระเอกก็จริง แต่เขามีอารมณ์มีความกังวล ร้อนใจ จากบันทึกประจำวันของเขาแต่ละถ้อยคำที่เขาพูดมีหลากหลายอารมณ์มากๆ แค่คำเดียวว่าเพื่อชาติเท่านั้นเอง สิ่งที่ประทับใจเขา คือ เรากำลังถ่ายทอดบทบาทของวีรบุรุษที่มีตัวตนเป็นคนจริงๆ มีเรื่องราวที่เป็นคน ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เก่งเลย ดีใจที่ได้มีโอกาสสัมผัสเขา

รู้สึกอย่างไรกับละครเวทีเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นละครที่คนรุ่นหลังควรที่จะได้ดู ได้รับรู้เรื่องราวของคุณจำกัดฯ นอกจากการชื่นชมสิ่งที่เขาได้เสียสละแล้ว ยังเป็นการช่วยเตือนสติคนรุ่นหลังว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราก็ต้องคิดถึงส่วนรวมด้วย ไม่ใช่คิดถึงแต่ตนเองอย่างเดียว เปรียบเทียบกับคุณจำกัดที่เป็นนักเรียนนอก เขามีหน้าที่การงานที่ดีสามารถจะเจริญรุ่งโรจน์ต่อไปได้ แต่เขาก็ยอมทิ้งทุกอย่าง ซึ่งปัจจุบันนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น แต่คิดอะไรเพื่อส่วนรวมบ้างก็ดี

อย่างละครเวทีจากที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย สุดท้ายทุกอย่างค่อยๆ หล่อหลอมและมีจุดมุ่งหมายที่เรามุ่งมั่นในการทำละครเวทีเรื่องนี้มากๆ ทั้งเพื่ออาจารย์ฉัตรทิพย์ อาจารย์ปรีชา และได้เชิดชูเกียรติของคุณจำกัดด้วย และยังได้พิสูจน์พวกเรากันเองที่จะก้าวผ่านความขัดแย้งไม่ลงรอยกันโดยที่มีเป้าหมายเดียวกัน

ละครเรื่องนี้สมกับชื่อจริงๆ เป็นการเสียสละคนละแบบที่แต่ละคนอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวด้วยการสละ

บางอย่างทั้งเวลาทั้งเงินที่ตัวเองเคยมี อาจารย์ฉัตรทิพย์บอกพวกเราทุกคนเสมอว่าเราไม่มีค่าตัวให้นะ มีอาหารการกินให้ แต่ว่าเพราะรักจึงสมัครใจเล่น ซึ่งเป็นคำที่บอกตัวเองอยู่เสมอเวลาที่เราท้อ

กว่าจะเป็นละครเวทีเรื่องนี้ได้ เมื่อย้อนเวลากลับไปดู จริงๆ มันเป็นเรื่องยากนะเพราะพวกเรามือใหม่หมดเลย ซึ่งมีไม่กี่คนที่มีประสบการณ์ และมีความบังเอิญหลายอย่างเช่น มีผู้ประกาศข่าว มีนักแสดง มีนักเปียโน เพื่อนพ้องมาร่วมกันช่วยจนเป็นละครเรื่องนี้ขึ้นมาได้

คุณูปการของเรื่องนี้ก็คงเข้าใจอยู่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ แม้จะมีความขัดแย้งอยู่บ้างแต่เราก็มีเป้าหมายเดียวกัน

chamkad balangkura, จำกัด พลางกูร

chamkad balangkura, จำกัด พลางกูร

ฉากที่ประทับใจที่สุด ฉากลาอาจารย์ปรีดีฯ เป็นฉากที่พูดน้อยมาก คือเหมือนเราให้ไปหมดแล้วและคุณสุรเดช สุวรรณโมราที่รับบทบาทเป็นอาจารย์ปรีดีส่งให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคุณจำกัดที่สละให้ได้ทุกอย่างเบื้องหลังและไปข้างหน้า เป็นจุดเริ่มแรกที่เดินไปภารกิจ รู้สึกน้ำตาคลอทุกครั้งที่เล่นฉากนี้

ผมได้อ่านบันทึกประจำวันของคุณจำกัดซึ่งก็ได้เขียนว่า ตอนที่อาจารย์ปรีดีพูดกับเขา เขาน้ำตาคลอ จึงรู้สึกร่วมไปด้วย คือให้สละชีพเพื่อชาติไป และคำนี้เป็นคำที่ประทับใจและตราตรึงใจตลอดเวลาที่ปฏิบัติภารกิจ คือเป็นคำที่ตราตรึงในใจคุณจำกัดไว้และยึดเหนี่ยวเขาไว้อย่างเหนียวแน่น และฉากที่ลาคุณฉลบชลัยย์ซึ่งเป็นความรู้สึกต่อสู้กันระหว่างการรักภรรยากับการรักชาติ ซึ่งได้อ่านบันทึกของเขา มันให้ความรู้สึกว่าจังหวะนี้มันโหวงไปหมด รักภรรยา เป็นห่วง แต่ชาติก็ต้องทำเพราะรับปากอาจารย์ปรีดีฯ ไว้แล้ว ซึ่งเขาก็เขียนไว้ว่า จนสุดท้ายก็เลือกรักชาติ

เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ได้เผยแพร่ออกไปแล้ว อยากฝากให้สังคมได้หันกลับมามองกรณีของคุณจำกัดว่าเป็นกรณีศึกษา ที่ในประวัติศาสตร์ของเรา ยังมีอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง อยากให้ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อยากให้เห็นถึงส่วนรวมมากขึ้น อยากให้มองว่าเราทำอะไรกับสังคมได้บ้างต่อประเทศชาติได้บ้าง

แรงบันดาลใจจากละครเวทีเรื่องนี้ ในชีวิตจริง ผมกำลังจะไปเกณฑ์ทหารซึ่งผ่อนผันมาหลายปีแล้วจนไม่สามารถผ่อนผันได้ ญาติ หรือครอบครัวก็อยากให้เราเรียนให้จบก่อน ซึ่งเราก็ลังเล เพราะที่บ้านก็ห่วงว่าจะถูกส่งตัวไปสามจังหวัดชายแดนใต้

เราลังเลอยู่มาก ซึ่งมันก็จะมีเรื่องการติดสินบนที่มันต่อสู้กับหลักการของเราอยู่ เพราะเราทำเพื่อสังคมมาเยอะ จนต่อมาได้รับบทนี้แล้ว รู้สึกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ได้เลย ไม่ลังเลเลยที่จะตัดสินใจว่าต้องไปเกณฑ์ทหาร เพราะเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับใช้ชาติ เพราะเราไม่ได้เรียน ร.ด. และการรับบทคุณจำกัด ฯ ทำให้ผมรู้สึกว่า..มันคงประหลาดน่าดูนะ หากเราเลือกที่จะใช้วิธีลัดด้วยการติดสินบนและมันจะขัดแย้งในตัวเราตลอดเวลา จึงทำให้เราตัดสินใจเช่นนี้ นี่คือแรงบันดาลใจ

พันโทหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์

รับบทบาทโดยคุณจาตุรนต์ อำไพ ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ และปริญญาโทศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สาเหตุที่มาเล่นละครเรื่องนี้ ยอมรับว่าครั้งแรกก็พอทราบเรื่องคุณจำกัดฯ และเรื่องราวของเสรีไทยอยู่บ้าง เนื่องจากอาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ ก็เคยเกริ่นให้ฟัง พอทราบบ้างว่ามีความสำคัญ แต่ที่ตัดสินใจรับเล่นก็เพื่ออาจารย์ด้วยและเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ และเป็นการทำงานให้เศรษฐศาสตร์การเมือง จึงรับเล่น ตอนเล่นก็สนุกดี ได้รู้จักเพื่อนใหม่ทำให้สนิทแนบแน่นกันมากขึ้น

หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์

คุณจาตุรนต์ อำไพ รับบทบาทเป็นหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน

แต่พอเล่นเป็น หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ก็พอรู้อยู่บ้างว่าตัวละครนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์พอสมควร ยิ่งได้ศึกษาลงลึกจริงๆ แล้ว จึงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ปิดทองหลังพระ เป็นพระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งอยู่ฝ่ายเจ้า พอปี 2475 ถูกโค่นล้มอำนาจ อย่างที่รู้กันว่า รัชกาลที่ 7 พยายามสนับสนุนลับๆ ในพวกกบฏบวรเดช ซึ่งเมื่อเกิดขบวนการบวรเดช ฝ่ายคณะราษฎรก็พยายามปราบปรามขบวนการบวรเดช

หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็เป็นคนที่ปล้นรถไฟเพื่อฝ่ายเจ้าทั้งหลายให้หนีลงสงขลา สถานะของเขาหลังจากกบฏบวรเดชสำคัญมาก เพราะเขาเป็นนักโทษลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่อังกฤษ คือจุดเริ่มต้นมีความขัดแย้งกับคณะราษฎรอย่างเต็มที่ เป็นนักโทษลี้ภัยทางการเมือง แต่ว่าพอเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง รัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติแล้ว จากนั้นก็เสด็จสวรรคตในปี 2484 และรัชกาลที่ 8 ก็เสด็จขึ้นทรงราชย์

ส่วนหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ขณะที่อยู่อังกฤษ เมื่อญี่ปุ่นบุกไทย ทางฝั่งอเมริกาโดย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ก็ตั้งเสรีไทยในอเมริกา อาจารย์ปรีดีฯ พยายามก่อตั้งภายในประเทศแต่ไม่มีใครรู้ ส่วนอังกฤษรู้ว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ถือเป็นคนแรกในอังกฤษที่ไม่ยอมรับที่จะเข้ากับญี่ปุ่น โดยเขียนจดหมายไปหาเชอร์ชิล บอกว่าขอร่วมสู้ด้วย และพยายามติดต่อกับ ม.ร.ว. เสนีย์ว่า ขอเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยด้วย

ดังนั้น โดยความสำคัญคือ เขาแทบจะเป็นเสรีไทยสายอังกฤษคนแรกๆ เลย ที่ได้ติดต่อกับทางอังกฤษ และทางนั้นเห็นว่าเขาเป็นคนไทยและเป็นเจ้ามาก่อน อังกฤษจึงค่อนข้างจะตอบรับพอสมควร โดยอังกฤษเองก็ให้บทบาทที่สำคัญกับหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์คืออยู่ในกองทหารที่มีหน้าที่แบบอยู่ในคณะเสนาธิการวางแผนการรบ เพราะว่าเป็นคนไทย มีเป้าหมายหลักคือให้ทำแผนที่ทหาร

ความสำคัญของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์คือค่อนข้างใกล้ชิดกับรัฐบาลอังกฤษ กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมอังกฤษ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเสรีไทยตรงที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ดำเนินยุทธวิธีทุกอย่างที่เป็นตัวกลางคอยเจรจากับทางฝ่ายอังกฤษให้มีท่าทีต่อไทยที่อ่อนลง หลังทราบข่าวจำกัด หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์พยายามติดต่อกับจำกัดและนำข่าวจากจำกัดว่ามีเสรีไทยในประเทศไปคุยกับเสรีไทยในอังกฤษให้อังกฤษโอนอ่อนลง รับรองปรีดี

ฉากที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน พบปะกับ จำกัดพลางกูรเพื่อหารือกัน

ฉากที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน (จาตุรนต์ อำไพ) พบปะกับ จำกัด พลางกูร (เสมอไหน เพ็งจันทร์) เพื่อหารือกัน

เขาพยายามจะเชื่อมเสรีไทยสายต่างๆ แต่ทางสายอเมริกันค่อนข้างจะไม่ให้ความสนใจเขานัก รวมทั้งคนไทยในอังกฤษที่ร่วมขบวนการด้วยค่อนข้างที่จะไม่ค่อยเชื่อใจหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ คือกลัวว่าจะรื้อฟื้นระบอบเจ้าขึ้นมาใหม่ ซึ่งเขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการฟื้นขึ้นมา ต้องการจะกู้ชาติอย่างเดียว (ตามที่ในบทละครเขียน)

จนแม้กระทั่งว่าหลังจากจำกัดมรณกรรมไปแล้ว หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ยังวางแผนการรบกับอังกฤษและได้เข้ามาในไทยโดยที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ยินยอมรับให้อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้าขบวนการอย่างเต็มที่

โดยยินยอมที่จะเขียนจดหมายปฏิญาณตน เพื่อแสดงเจตจำนงว่าทำเช่นนี้เพื่อชาติโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังฟื้นระบอบเจ้า เป็นลายลักษณ์อักษรไว้ โดยยินดีให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง แม้ใครไม่ให้ความร่วมมือเขาก็ยินดีที่จะช่วยเพื่อทำทุกวิถีทางที่ขบวนการจะขับเคลื่อนไปต่อได้

เมื่อรู้ข่าวก็พยายามส่งไปยังสายในอเมริกาแม้ว่าสายอเมริกาไม่ตอบอะไรกลับก็ได้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารต่างๆ เขาเป็นตัวกลางระหว่างเสรีไทยกันเอง เป็นตัวกลางระหว่างไทยกับอังกฤษ ซึ่งเขาพยายาม low profile ว่าใครไม่ให้การต้อนรับก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ได้ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติเดินหน้าทำต่อไปโดยไม่เรียกร้องว่าต้องการอะไรบ้าง

ตอนที่เขาเข้ามาเมืองไทยและร่วมกันวางแผน เขาบอกกับปรีดีว่าเสรีไทยต้องไม่ได้รับการปูนบำเหน็จหรือสิทธิพิเศษอันใดนะ เพราะทุกคนทำเพื่อชาติ และเขาบอกกับปรีดีว่า สิ่งที่เขาขอมีเพียงสองเรื่องในบันทึกว่า ขอให้ปล่อยนักโทษการเมือง (แม้จะเป็นฝั่งเขา แต่ก็เป็นความสมานฉันท์ในชาติ) และขอให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ซึ่งอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า มี fair play in politics ด้วย ให้เล่นการเมืองอย่างขาวสะอาดไม่ใส่ร้ายป้ายสีกัน

แม้ว่าคุณูปการเขาจะมากมายแต่สิ่งที่เขาขอกลับไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาโดยส่วนตัวเลย ทำเพื่อประเทศชาติทั้งนั้น โดยไม่มุ่งหวังให้ใครเชิดชูเกียรติ

เมื่อมาศึกษา จึงรู้สึกว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของคนทำประโยชน์ให้ประเทศชาติไม่จำเป็นต้องหวังผลตอบแทน ต่อให้ไม่ได้รับความร่วมมือจากใคร ถูกค่อนขอด ไม่ไว้วางใจ แต่เป้าหมายก็ยังเดินหน้าจะทำเพื่อชาติ จุดประสงค์หลักคือทำเพื่อชาติเท่านั้น คนรุ่นหลังน่าจะเอาอย่างและถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเจ้าด้วยแต่เขาก็ยินยอมให้ปรีดีเป็นผู้นำ

เขาเป็นคนหยิบยกประเด็นนี้ต่ออังกฤษ โดยที่อังกฤษก็ถามเลยว่ามีเสรีไทยในประเทศจริงหรือเปล่า และถ้ามีน่าจะเป็นใคร เขาตอบว่ามีเมื่อเขาสืบค้นดูจึงรู้ว่าเป็นปรีดี เขาก็พยายามบอกอังกฤษว่าให้ช่วยสนับสนุนด้วยให้ปรีดีออกมาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้นะ เพราะหากทางอังกฤษไม่สนับสนุนแล้ว ปรีดีกับจำกัดจัดตั้งคณะรัฐบาลที่จีนอาจจะทำให้อังกฤษถูกละทิ้งความสนใจได้ เขาพยายามอย่างต่อเนื่องจนอังกฤษเห็นด้วย เพียงแต่บางปฏิบัติการมันยังไม่สำเร็จเพราะสงครามมันก็จบก่อน

คณะราษฎร เพื่อชาติ เพื่อ humanity

คณะราษฎร เพื่อชาติ เพื่อ humanity [**นับจากซ้าย] หลวงบรรณากรโกวิท (ร้อยเอกศิวพงศ์ กุศลภุชฌงค์) หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ (อรรถวิท เจริญเวียงเวชกิจ) วิจิตร ลุลิตานนท์ (สุรพร ถาวรพานิช) ปรีดี พนมยงค์ (สุรเดช สุวรรณโมรา) ถวิล อุดล (พลจิรันต์ สิริพรพัฒนชัย) สงวน ตุลารักษ์ (อติชาติ วงศ์วุฒิวัฒน์)

บันทึกของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ จัดทำหลังจากเขามรณกรรมแล้ว คนรู้เรื่องราวของเขาน้อยมาก แม้แต่ลูกหลานเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน จนอีก 33 ปีจะครบ 100 ปีการมรณกรรมถึงเพิ่งมาเห็นบันทึกและเพิ่งทราบกันว่าพ่อเขามีความสำคัญ และเป็นคนที่ถูกลืมจริงๆ แม้จำกัดฯ จะเหมือนกับว่าถูกลืมแล้วแต่ อาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ ก็ฟื้นจำกัดขึ้นมาแล้ว

แต่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ยังเป็นคนที่ถูกลืมอยู่ แต่ผมเชื่อว่าโดย nature ของเขา ทำให้เชื่อได้ว่าเขาก็ไม่สนใจอยากจะให้ใครรับรู้ว่าเขาทำอะไร เพราะจุดมุ่งหมายเขานั้นชัดเจนที่ว่าเขาทำเพื่อชาติ ไม่ได้คาดหวังอะไร เขาค่อนข้างใจนักเลง แม้เคยขัดแย้งกับปรีดีแต่เห็นปรีดีทำเพื่อบ้านเมืองเขาก็สนับสนุนปรีดีเต็มที่

เขามีจุดยืนชัดเจน แต่ทิ้งความขัดแย้งส่วนตนเพราะเห็นว่าปรีดีทำเพื่อชาติจริงๆ จึงสนับสนุน

หากถามว่าชอบฉากไหน ก็บอกได้ว่าชอบหลายฉาก แต่ฉากที่ตัวเองเล่น ไม่ได้ชอบในความสนุกของฉาก แต่ชอบในตัวบทของฉาก ซึ่งทุกคำพูดนั้น ผู้แต่งคืออาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคุณอัจฉรา ทองรอด วติวุฒิพงศ์ร่วมเขียนด้วย ในตัวบทได้ใส่ความเป็นตัวตนของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ลงไปแล้ว ใส่ความสำคัญทุกอย่าง แต่บทเพียงเท่านั้นไม่สามารถเห็นถึงความสำคัญของเขาได้มาก

แต่ถ้ารู้เรื่องราวแล้ว นั่นคือหัวใจของศุภสวัสดิ์และเป็นเช่นนั้นจริง ซึ่งแม้ตอนอ่านบทครั้งแรกไม่คิดว่าจะสะท้อนตัวตนเขาขนาดนี้ ทุก wording มีความหมายทุกอัน เป็น key message ทุกบทที่พูด แม้แต่กระทั่งคำถามที่ว่า “นักโทษการเมืองเล่าจะว่าอย่างไร?” และการทำให้เป็นประชาธิปไตยคือสองสิ่งที่เขาขอ เลยรู้สึกว่าชอบบทนี้และจะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดี

โดยรวม ละครเวทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี การได้รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ก็ดีอยู่แล้วซึ่งมีหลายเหตุผลที่ถูกทำให้เลือนหายไป สิ่งที่อาจารย์ทำก็ค่อนข้างยิ่งใหญ่ แต่ที่น่าเสียดายก็คือยังไม่ถึงเผยแพร่ในจุดวงกว้างได้มากเท่าที่ควร ด้วยขีดจำกัดหลายๆ อย่างของการทำละครของเรา

น่าเสียดายในความรู้สึกของเรา ใจของเราอยากให้มีการเพิ่มรอบละครเวที แต่ไม่ได้อยากให้เพิ่มรอบเพราะอยากให้คนมาดูว่าเราเล่นละครอย่างไร แต่สิ่งที่อยากให้เพิ่มรอบคืออยากให้เป็นกระแส อยากให้สังคมไทยได้รับรู้เรื่องนี้จริงๆ

แรงบันดาลใจที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ คือได้ข้อคิดที่ว่า ในการเป็นเสรีไทยคือการต้องมาเป็นยินยอมพร้อมใจทำตามปรีดี การที่เขาเป็นเจ้าและต้องมาเป็นลูกน้องคนที่เคยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และแม้ว่าในขบวนการไม่ค่อยให้ความร่วมมือและค่อนข้างระแวงเขา เขาก็ยังมุ่งหน้าทำงานต่อไป

ข้อคิดของละครเวทีเรื่องนี้ที่ผมมองคือ ถ้าอะไรที่ทำเพื่อชาติจริงๆ ก็ทำโดยไม่ต้องหวังอะไรก็ได้ 100 ปีที่ผ่านมา วันหนึ่งสุดท้ายก็ยังมีคนที่เห็น อย่างผมอาจจะเห็นไม่เยอะ แต่ก็เห็นบ้างว่ามีความสำคัญจริงๆ ถ้าทำอะไรเพื่อส่วนรวมและมีโอกาสทำได้ ก็เท่ห์ดีนะ เพราะเป็นการทำที่ไม่ต้องทำให้คนอื่นเห็นก็ได้ ถ้าของเราดีจริง ทองแท้วันหนึ่งก็ต้องมีคนเห็น

ทำเพื่อประเทศชาติก็คือทำอะไรได้ก็ทำไป ลบล้างตัวตนเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ต่อไปนี้ก็จะพยายามดำเนินทิศทางไปแบบนี้ ถ้าทำได้ ถ้ามีโอกาส

ทำอะไรเพื่อประเทศชาติก็ทำไปเถอะ อย่ามัวแต่มานั่งตีกันเลย ยึดสิ่งที่เป็นประโยชน์ของชาติ ไม่ต้องตีกัน คนเขาเคยเกลียดกันขนาดนั้นก็ยังจับมือกันได้ คือคนในยุคก่อน เขาเล่นการเมืองแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายเขาไม่ได้ทำให้บ้านเมืองพินาศ ถึงจุดหนึ่งที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองก็ทิ้งทุกอย่างได้เพื่อร่วมมือกันและทำให้บ้านเมืองไปรอด

แต่สังคมไทยตอนนี้อาจไม่เป็นอย่างนั้น ต่างคนต่างมีตัวตน ประเทศชาติเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ ฉันถูกก็ไม่คิดจะยอมใคร มันก็ไปต่อไม่ได้ ชอบบทนี้เพราะสะท้อนตัวเขาแต่ค่อนข้างร่วมสมัยกับเหตุการณ์ปัจจุบันและเป็นตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนว่าต้องลดอัตตาตัวเองลงและคิดถึงบ้านเมือง ไม่งั้นก็ไปต่อไม่ได้

เขาบอกว่าการเมืองไทยมันจะพล็อตเรื่องเดิมแค่เปลี่ยนตัวแสดง มันก็คล้ายๆ กัน แต่สมัยนั้นอยู่ในภาวะสงคราม ก็อาจจะมีมูลเหตุให้รวมกันได้กว่าตอนนี้ แต่ถ้ายึดตรงนั้นเป็นที่ตั้งกับเหตุการณ์ตอนนี้ว่าบ้านเมืองจะแตกแยกเพราะสงครามภายใน และถ้าจะหันหน้าเข้ามาร่วมกันได้จริงๆ ทิ้งตัวตนมันก็น่าจะดี โดยที่ไม่ต้องมาหวังว่าร่วมกันแล้วฉันจะต้องเป็นใหญ่หรือมีชื่อเสียงอะไร คือทำไปเถอะ

สิ่งหนึ่งที่พยายามเล่นให้เขา แน่อนอนการทำให้คนตายฟื้นคืนมาก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ทำดีอย่างไรก็อาจจะไม่รับรู้ คือคนอาจจะรับรู้เขาเป็นวีรบุรุษในระดับหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งคือ การกู้ศักดิ์ศรีให้วงศ์ตระกูลเขาด้วย หลังจากปรีดีฯ ไป และเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามปรีดีฯ เช่นกัน

ชื่อของ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ก็ไม่ค่อยจะมีคนรู้จัก ลูกหลานเองก็เสียใจที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์พ่อเขา คือเพิ่งจะมาสืบค้นข้อมูลกัน คือคิดว่าหากทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจได้ ก็เป็นการกอบกู้เกียรติยศให้หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์และลูกหลานสายตระกูลเขา พ่อเขา ทำเพื่อประเทศชาตินะ ก็อยากให้คนที่อยู่ข้างหลังยังมีที่ยืนอยู่ในสังคมอยู่บ้างครับ

เตียง ศิริขันธ์

รับบทบาทโดยธีรพงศ์ ไชยมังคละ และหน้าที่วิจัยค้นคว้า ปริญญาโทศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาราชภัฏจันทรเกษม

ผมเป็นนักวิจัยที่ช่วยดูสถานการณ์โดยรวม ทั้งลำดับเวลา อุปกรณ์ต่างๆ ว่าในช่วงเวลานั้นเป็นไปได้หรือไม่ เรามีข้อถกเถียงกันเยอะในการตีความบางอย่าง เช่น ชุดเสื้อผ้า โคมไฟ ไมโครโฟนว่าทำไมต้องของ SONY เพราะไม่ได้ค้าขายกับอเมริกา แต่ก็มีข้อจำกัดในด้านงบประมาณ และยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอีกทั้งข้อมูลสืบค้นค่อนข้างยาก

POP_2843

คุณธีรพงศ์ ไชยมังคละ รับบทบาทเป็น เตียง ศิริขันธ์

ครูเตียงเป็นเพื่อนสนิทคุณจำกัด ซึ่งได้คาแรกเตอร์มาจากพ่อของคุณเตียงฯ ที่เป็นพ่อค้า ครูเตียงมาเรียนที่กรุงเทพฯ และกลับมาเป็นครู ซึ่งถูกข้อหาคอมมิวนิสต์ จากนั้นก็มาสมัครเป็น สส. ซึ่งมีอิทธิพลมากในภาคอีสาน หลังจากอาจารย์ปรีดีโดนข้อหาให้ออกนอกประเทศ เขาสามารถทำให้รัฐบาลกลางบอกว่าเป็นกบฏแบ่งแย่งดินแดนได้เลย

บทบาทที่ได้รับนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติเพราะเดิมสนใจเป็นเพียงนักวิจัยช่วยอาจารย์ฉัตรทิพย์ ผมรู้จักจำกัดก่อนทุกคนในทีมว่าเขาทำอะไร ตกลงใจทำงานวิจัยเพราะภาพของคณะราษฎรเป็นภาพของกลุ่มที่เหยียบเรือสองแคม พอทีแรกเข้าข้างญี่ปุ่น พอญี่ปุ่นจะแพ้ก็เปลี่ยนข้าง ซึ่งตามจริงคิดว่าสิ่งนี้เป็นการ discredit ของคณะราษฎรด้วยตัวมันเอง ทำให้อำนาจอย่างหลังฟื้นขึ้นมาได้

ต่อจากนั้น ผมค้นพบว่ามันมีกลไกและรายละเอียดที่น่าจะบอกได้ว่าไม่ใช่การเหยียบเรือสองแคม และเรื่องราวของคุณจำกัดฯ ทำให้น่าสนใจศึกษาเลยเข้ามาทำในส่วนของวิจัย

เดิมเราเลือกคุณเจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ (ศิษย์เก่าสาขาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เป็นคุณจำกัด พลางกูร ซึ่งเดิมรับปากไว้ ขณะที่คุณเสมอไหน เพ็งจันทร์ซึ่งรับบทเป็นคุณจำกัดในปัจจุบันในขณะนั้นแจ้งไว้ว่าถ้าไม่ได้รับบทบาทเป็นคุณจำกัดก็จะไม่รับบทบาทใดๆ เลย

จนกระทั่งคุณเจมส์ฯ ไม่สะดวกอย่างชัดเจน สุดท้ายบทคุณจำกัดจึงมาลงตัวที่คุณเสมอไหน ส่วนบทคุณเตียงว่าง ผมก็เลยได้รับบทบาทนี้เพราะช่วงนั้นไม่ค่อยมีคนสนใจงานละครเวทีนัก

สาเหตุที่สนใจเรื่องคุณจำกัด เริ่มมาจากอาจารย์ฉัตรทิพย์ที่ให้ความสนใจคุณจำกัดมากจนกระทั่งนำไปเขียนอยู่ในคำนำของหนังสือเรื่องเศรษฐกิจการเมืองซึ่งพิมพ์ครั้งที่ 6 ท่านเขียนทำนองว่า เศรษฐศาสตร์ที่เป็นสถาบันนั้น เราจะต้องดูสปิริตและไอเดียของมันด้วย ซึ่งท่านได้คำนี้มาจากการอ่านงานของคุณจำกัดผมจึงติดตามงานอ่านหนังสือเพื่อชาติ เพื่อ humanity ของอาจารย์ฉัตรทิพย์

ผมได้พบบทสนทนาระหว่างคุณจำกัดและหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยคือความขัดแย้งระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายประชาธิปไตย จากนั้นจึงสืบค้นเรื่องของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ก็พบว่าท่านทรงอิทธิพลมาก ซึ่งเป็นฝ่ายเจ้าสายใหม่ที่มีบทบาทเยอะ และคิดว่าเป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายที่มาสนทนาที่ทำให้รู้สึกว่าทำเพื่อชาติจริง

คุณฉลบชลัยย์ พลางกูร ได้กล่าวกับอาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ถึงความกังวลเรื่องฝ่ายเจ้าของจำกัดอันเนื่องมาจากความขัดแย้งเดิมที่มีมาตั้งแต่ 2475 เห็นได้จาก ตอนจำกัดจะลาอาจารย์ปรีดีฯ จำกัด ถามว่า “แล้วเราจะได้รับความร่วมมือหรือไม่” อาจารย์ปรีดีฯ ตอบว่า “ในช่วงสงคราม ไม่มีใครเขาคิดเรื่องนี้หรอก” บทสนทนาดังกล่าวไม่ปรากฎในเอกสารใดๆ จึงไม่ได้ถูกระบุไว้ในบทประพันธ์ของละครเวที

ละครเวทีเรื่องนี้ มีเรื่องราวให้รู้มากเกินกว่าจะไปรับทราบเรื่องราวของเสรีไทยจากละครที่โด่งดังในเรื่อง “คู่กรรม” ที่บดบัง จนเสรีไทยกลายเป็นตัวประกอบ หากจะวัดความสำเร็จจากละครเวทีเรื่องนี้ คิดว่า นิยายคู่กรรม จะทำไม่ได้อีก ถ้าผลิตออกมาอีก ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทุกคนรับรู้แล้วว่านั่นคือเรื่องบิดเบือน

ซึ่งแม้ก่อนหน้านั้นอาจรู้สึกว่าการจัดละครเวที เป็นเรื่องที่ห่างไกลจากศักยภาพของผู้ที่เกี่ยวข้องพอสมควร และครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดี ครบรอบ 72 ปีอาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และอาจารย์ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ด้วย อีกทั้งคุณฉลบชลัยย์ยังเป็นบุคคลเดียวในละครที่ยังมีชีวิตอยู่ และอาจมาดูการแสดงละครนี้ด้วย ดังนั้นละครเวที เรื่องนี้ ต้องจัดให้ได้ปีนี้

ในส่วนของเนื้อหาละครเวทีนี้ ผมประทับใจทุกฉาก แต่ฉากที่เป็นจังหวัดสกลนครน่าสนใจมาก ผู้เขียนบทตั้งใจแสดงให้เห็นกองกำลังที่เป็นจริงของเสรีไทยจริงๆ ซึ่งถ้าจะพิจารณาตามบริบททางประวัติศาสตร์แล้ว ผู้ชายไทยเกือบทุกคนในเวลานั้นมีแนวโน้มถูกเกณฑ์ไปรบกับฝรั่งเศส (รัฐบาลอินโดจีน) ได้รับชัยชนะจนตั้งอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นเกียรติประวัติ

คนไทยคงฮึกเหิมกันมากที่สามารถเอาดินแดนที่เสียไปในตั้งใน ร.ศ. 112 กลับคืนมาจากฝรั่งเศสได้ ดังนั้น ฉากสกลนครนี้จึงเหลือแต่ชาวบ้าน ซึ่งเป็นผู้ที่เสียสละมากกว่าทหารอีก เพราะไม่ได้อยู่ในโครงสร้างราชการ พวกเขาร่วมใจกันเอง ผู้ถูกเกณฑ์เป็นทหารนั้นไปด้วยงบประมาณของรัฐบาล แต่ชาวบ้านใช้เงินตัวเองและไม่รู้ว่าจะได้ผลตอบแทนอะไรด้วย ซึ่งเขาก็ทำอย่างเต็มที่ ภายใต้การนำของนายเตียง ศิริขันธ์

หลังการเปลี่ยนแปลง 2475 ในทัศนคติของผม ดูเหมือนการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีเป้าหมายแตกต่าง 2 ประการ คือ ประการแรก อยากให้ประเทศเจริญทัดเทียมนานาประเทศ ที่ล้วนแล้วปรับเปลี่ยนการปกครองจากเดิมมาสู่ระบอบใหม่เช่น ญี่ปุ่นพอเปลี่ยนจากเอโดะมาสู่สมัยเมจิ ประเทศญี่ปุ่นก็รุ่งเรืองมาได้ ซึ่งกลุ่มที่มีเป้าหมายนี้ จะเป็นกลุ่มที่อยู่ในเมือง

ในขณะที่เตียงฯ อยู่อีสานดินแดนที่ถูกกดขี่โดยระบอบการปกครองแบบจารีต เขาจึงมีเป้าหมายในแบบที่สอง คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ต้องทำให้เกิดความทัดเทียมกันกันหมด เขาจึงพูดว่า “ข้าพเจ้าต้องการให้ทุก ๆ คนบนพื้นดินอันเป็นสยามประเทศนี้ เป็นราษฎรเสมอหน้ากันหมด ปราศจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูง” เป้าหมายที่แตกต่างกันนี้ก็เหมือนกับ ข้อจำกัดทางเศรษฐศาสตร์ คือ เราไม่สามารถขยายการเติบโตไปพร้อมกับการกระจายความมั่งคั่งได้ เพราะทรัพยากรมันมีจำกัด ต้องเลือกไปด้านใดด้านหนึ่ง

ความขัดแย้งนี้เห็นชัดขึ้นหลังปี 2490 ซึ่งผู้ที่ยึดอำนาจรัฐบาลส่วนกลางในเวลานั้น ยังคงแนวคิดว่าอีสานเป็นพวกที่ด้อยกว่าไม่เท่ากับส่วนกลาง สะท้อนได้จากคำพูดของ เตียงฯ ตอนที่ เพื่อน สส. อีสานของเขา ถูกยิงที่หลักสี่ เตียงฯ กล่าวว่า เป็นการกระทำที่ดูถูกคนอีสานทั้งหมด ซึงต่อมาผู้ที่ยีดอำนาจส่วนกลางนี้ ก็พัฒนาเมืองให้เติบโต โดยไม่ยอมกระจายความเจริญไปสู่อีสานจริงๆ ต้องรอจนเกิดสงครามเวียดนาม ถึงมีเงินจาก สหรัฐอเมริกาที่เข้ามาตั้งฐานทัพ เพื่อถล่มเพื่อนบ้าน อีสานถึงได้รับการพัฒนา (ด้านวัตถุ)

วกกลับมาที่เนื้อหาของละครเวที่ เพื่อชาติ เพื่อ Humanity อย่างน้อยการจัดแสดงละครนี้ก็น่าดึงความสนใจของสังคมให้หันกลับมารับรู้เรื่องราว การกระทำอันเกล้าหาญ ได้ตระหนักถึงความเสียสละ ของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ช่วยกันรักษาเอกราช อันเป็นเสมือน National ideology ไว้

การที่ประเทศของเรายังดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเอกราชมาได้ทุกวันนี้เกิดจากความตั้งใจ มุ่งมั่น เสียสละ ของทุกๆคน ทั้ง จำกัด ปรีดี ท่านชิ้น เตียง ซึ่งร่วมกันอยู่ในขบวนการเสรีไทย ไม่ได้เกิดจากการโลเลเห็นข้างไหนชนะ ก็เข้าข้างนั้น

ฉลบชลัยย์ พลางกูร

รับบทบาทโดย เกศสุดา ทองนะ และหน้าที่เหรัญญิก ปริญญาตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังศึกษาปริญญาโทศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับราชการเป็นนักการทูตปฏิบัติการ กระทรวงการต่างประเทศ

บทบาทของคุณฉลบชลัยย์ที่ได้รับทำให้รู้สึกเกร็ง เพราะน่าจะเป็นเพียงบุคคลเดียวในละครเวทีเรื่องนี้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การเล่นแทนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และอาจารย์บอกว่าท่านจะมาร่วมชมด้วยนั้น เราก็รู้สึกว่าเราจะเล่นได้ตรงกับที่ท่านเป็นหรือเปล่า พอทุกคนเพิ่มความมั่นใจให้ จึงค่อยรู้สึกว่าการได้เล่นบทของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเรื่อง เราสามารถที่จะศึกษาตัวละครที่ไม่เข้าใจอะไร ก็สามารถถามได้ พอศึกษาประวัติมากขึ้น ก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เล่นบทนี้ เพราะท่านเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเข้มแข็งและเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนที่ตัวเองรักและเพื่อส่วนรวมทั้งหมดได้มากขนาดนี้

การจากลาอย่างไม่มีวันหวนกลับของฉลบชลัยย์ พลางกูรและจำกัด พลางกูร

การจากลาอย่างไม่มีวันหวนกลับของฉลบชลัยย์ พลางกูร (เกศสุดา ทองนะ) และจำกัด พลางกูร (เสมอไหน เพ็งจันทร์)

มันไม่ใช่การที่จากคนรักไปอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลหลังจากที่คนรักจากไปด้วย ที่ได้สร้างคุณูปการให้สังคมอีกจำนวนมาก ท่านเป็นเหมือนบ้านให้แก่ลูกหลานขบวนการเสรีไทยที่หลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว ก็ได้รับผลกระทบจากการที่ครอบครัวถูกจับและถูกตั้งข้อหากบฏ ท่านให้ความคุ้มครองแก่เด็กๆ เหล่านั้น เมื่อหมดยุคสมัยนั้นแล้วท่านก็เปิดโรงเรียนและตั้งมั่นอยู่ในอุดมการณ์ที่คุณจำกัดและท่านได้คิดไว้ว่าจะสร้างโรงเรียนที่จะผลิตคนเพื่อเป็นกำลังของสังคมและเติบโตมาแบบเด็กดี เป็นคนที่เข้ามาช่วยสังคมในหลายๆ ส่วน

หลังจากอ่านบทประพันธ์ของอาจารย์ฉัตรทิพย์ฯ เหมือนเป็นงานวิจัยย่อยๆ ที่เป็นภารกิจเดินทางแกะรอยคุณจำกัด แรกเริ่ม รู้สึกสนุกกับการอ่านเรื่องราวของคุณจำกัดฯ และมีโอกาสได้อ่านบันทึกประจำวันของคุณจำกัดฯ จากหอจดหมายเหตุ แทบจะเรียกได้ว่าเรื่องนี้ที่เป็นละครประวัติศาสตร์ที่ 99% เป็นเรื่องจริง นี่เรายังไม่ได้พูดถึงในแง่ความจริงที่คุณจำกัดถ่ายทอดออกมา โดยที่เราไม่ได้มองว่ามีใครโต้เถียงอะไรมาก่อนนะ

น่าดีใจที่จะได้ทำละครเวทีเรื่องนี้ออกมา หลังจากที่อาจารย์เขียนออกมา 7 ปีแล้วยังไม่ได้สร้างขึ้น น่าดีใจแทนคนรุ่นหลังที่จะได้รู้จักอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่อาจไม่ได้ถูกเอ่ยถึงเลย หรือไม่ได้ถูกเอ่ยถึงบ่อยนัก รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งให้คนในสังคมได้รู้จักคนคนนี้มากขึ้น เพราะเคยถามคนหลายคน ซึ่งเรามีเพื่อนที่เป็นเด็กธรรมศาสตร์ เราจะรู้สึกว่าเด็กธรรมศาสตร์มักจะอินหรือรู้สึกร่วมไปกับยุคของประชาธิปไตย ยุคของเสรีไทย เพราะทุกคนก็รู้ว่าท่านปรีดีเป็นผู้ประสิทธิประสาทมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะฉะนั้น เราก็จะลองถามว่าคุณรู้จักกับคุณจำกัดฯ ไหม ซึ่งส่วนใหญ่แทบจะไม่รู้จักและมันก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย

ฉากอะไรที่ประทับใจที่สุด คือฉากจำกัดลาท่านอาจารย์ปรีดี เป็นฉากที่ท่านอาจารย์และคณะราษฎรรวมทั้งคุณเตียง ศิริขันธ์ ลงความเห็นพร้อมกันแล้วว่าขบวนการจะก่อตั้งขบวนการกู้ชาติขึ้นมา และส่วนสำคัญของกระบวนการขึ้นมาคือชาวบ้าน มันจะเป็นขบวนการกู้ชาติขึ้นไม่ได้เลยหากขาดกำลังสำคัญคือชาวบ้าน ซึ่งคุณจำกัดสนิทสนมกับคุณเตียงที่เป็น ส.ส. ภาคอีสานที่มีฐานเสียงเป็นชาวบ้านอยู่มาก

ฉากนั้นเป็นฉากที่เมื่อคุณจำกัดได้รับภารกิจกู้ชาติขึ้นมา คุณจำกัดก็จะเดินทางไปสกลนคร ในภารกิจนี้มันอันตราย ก่อนที่จะลาจากกัน ท่านอาจารย์ปรีดีก็กล่าวกับคุณจำกัดว่า เคราะห์ดีที่สุดอีก 45 ปีอาจได้เจอกัน เคราะห์ไม่ดีนักก็ 2 ปี เคราะห์ร้ายที่สุดก็ให้คิดว่าสละชีพเพื่อชาติไป เป็นประโยคที่ประทับใจมาก

สิ่งที่อยากฝากให้สังคมหลังละครเวทีเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปคือ ยุคสมัยนี้อาจจะแทบไม่ได้เห็นคน หรือกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ที่เสียสละ อุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริงๆ ณ จุดนั้น คุณจำกัด คิดอย่างเดียวว่าเพื่อชาติ สิ่งที่ทำคุณจำกัดอาจจะคิดว่าทำให้ไทยรอดพ้นจากสงครามและการเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร

แต่ผลในระยะยาว คุณูปการที่คุณจำกัดสร้างมันยิ่งใหญ่มหาศาลมาก เสียสละแบบคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน แม้ว่าคุณจะเป็นคนตัวเล็กๆ คนเดียวที่อาจไม่มีอะไรเลย คุณก็อาจจะทำคุณประโยชน์เพื่อชาติได้

ฉลบชลัยย์ พลางกูร (เกศสุดา ทองนะ)

เราไม่ปฏิเสธว่าสังคมเต็มไปด้วยชนชั้นที่หลากหลาย ยุคสมัยหนึ่งเราอาจเห็นชาวบ้านล้าหลังและไม่มีกำลังเพียงพอที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เรื่องนี้จะทำให้เห็นความสำคัญของชาวบ้านที่มีต่อสังคมไทย ในยุคสมัยนั้น ความมั่นคงของชาติไม่ได้อยู่ที่ทหาร หรือผู้ที่มีอำนาจสูงที่สุด หรือผู้ที่เป็นตัวแทนในการใช้อำนาจแทนประชาชนเท่านั้น อำนาจอยู่ในมือประชาชน

แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ โดยส่วนตัวศึกษาสตรีนิยม ซึ่งละครเรื่องนี้ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชาย ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการขับเคลื่อนที่เราเห็นชัดไม่ปฏิเสธว่าเป็นผู้ชาย แต่เบื้องหลัง การสร้างคน การขับเคลื่อนก็มีส่วนผลักดันจากผู้หญิงด้วย ตามจริงแล้วไม่สำคัญว่าผู้หญิงหรือผู้ชายในการช่วยกันสร้างสังคมให้ดีขึ้นได้

*หมายเหตุ บทสัมภาษณ์กองละครเวทีเรื่อง เพื่อชาติ เพื่อ humanity นี้ จัดทำขึ้นเพื่อร่วมรำลึกและสดุดีวีรบุรุษเสรีไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 68 ปีวันสันติภาพไทยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติวีรกรรมการสละชีพเพื่อดำรงความมั่นคงของชาติไว้นั้นสำคัญยิ่ง และเพื่อไม่ให้เรื่องราวของพวกเขาต้องเลือนหายไปตามกาลเวลาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม

อีกทั้ง การเลือกเผยแพร่บทสัมภาษณ์ในช่วงเวลากระชั้นการแสดงจริงเพียง 2-3 วันนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ที่รับรู้ข้อมูลดังกล่าวได้ว่า บทสัมภาษณ์นี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาหรือเพื่อการตลาด ด้วยเหตุนี้ จึงนำบทสัมภาษณ์ขึ้นเผยแพร่ในวันที่ละครเวทีได้ทำการแสดงจริงเรียบร้อยแล้ว และนำเสนอเป็น 2 ตอนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสของเรื่องราวและที่มาครบใจความสำคัญอย่างแท้จริง

อ่านเพิ่มใน..
ละครเวทีเพื่อชาติ เพื่อ humanity

http://www.siamintelligence.com/chamkad-balangkura-the-great-unsung-hero/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น