วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตอบสุดยอดคำถาม !

 

ตอบสุดยอดคำถาม !

 

 

 

เหตุใดพระพุทธศาสนาจึงอยู่กับคอมมิวนิสต์ได้

 

ในลาว เวียตนาม หรือแม้แต่จีน ?

 


พุทธศาสนาของเรา 
"อยู่ได้" กับทุกระบอบการปกครอง แต่..พุทธศาสนาของเรา "ไม่ล่มหัวจมท้าย" กับระบอบใดระบอบหนึ่ง..

 

 

หลวงปู่มหาผ่อง มหาสังฆนายกลาว

 

 

 

 

 

 

 

 

ปุจฉาวิสัชนาธรรม กับ  "หลวงปู่พระมหาผ่อง" ประธานคณะสงฆ์ลาว อายุ 98 ปี

 


ย้อนอดีต 2 ธันวาคม 2518 นับจากประเทศลาวมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยมาเป็นสังคมนิยม เหตุไฉน...คณะสงฆ์หรือพระพุทธศาสนาในประเทศลาวก็ยังคงอยู่ได้อย่างมั่นคง และดูเหมือนว่าจะมั่นคง...เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

 

"พุทธศาสนาของเราอยู่ได้กับทุกระบอบการปกครอง แต่พุทธศาสนาของเราไม่ล่มหัวจมท้ายกับระบอบใดระบอบหนึ่ง" หลวงปู่ตอบ

ประเด็นต่อมามีอีกว่า หลวงปู่พระมหาผ่องยังมีความเชื่อมโยงกับ “โฮจิมินห์” ผู้นำคอมมิวนิสต์ ประเทศเวียดนาม มีการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า ลุงโฮมีลูกเลี้ยงคนหนึ่งอยู่ที่ลาวชื่อว่า “ผ่อง”

 

ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 บอกว่า ประเด็นศึกษาที่น่าสนใจคือ “ลุงโฮ” กับการนำเอาหลักธรรมมาปรับใช้อย่างไรบ้าง

ดร.สุภชัย บอกว่า การเข้าไปทำธุรกิจในเวียดนามกว่า 20 ปี รู้ดีว่า... สถานที่ราชการทุกแห่ง รัฐบาลเวียดนามจะไม่อนุญาตไม่ให้ตั้งรูปเหมือนใครเลย แม้กระทั่งรูปเหมือนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตั้งไม่ได้ ตั้งได้เฉพาะรูปเหมือนลุงโฮเท่านั้น ที่เปรียบเหมือนเทพเจ้า แล้วก็เหมือนเป็นพ่อของประเทศ

วันนี้...ขนาดประธานาธิบดีเวียดนามก็ไม่ค่อยกล้าเรียกตัวเองว่า “ประธานาธิบดี” บอกว่า...ตัวเองเป็นรอง เพราะจริงแล้วคนเวียดนามหรือผู้ใหญ่ในรัฐบาลจะให้เกียรติลุงโฮแล้วก็จะบอกว่า “ลุงโฮเป็นประธานาธิบดีคนเดียวของเวียดนาม...คนที่เป็นอยู่ก็เป็นรองทั้งนั้น”

การใช้ประสบการณ์ แนวคิด ปรัชญาในการบริหารชีวิต ต่อสู้ปกครองของลุงโฮเป็นประเด็นน่าสนใจ...ศาสนาพุทธจะสามารถสร้างการเปลี่ยนผ่านทางความคิดก้าวข้ามประวัติศาสตร์ในอดีต เดินหน้าสู่อนาคตที่จะเกิดความเชื่อมโยง สร้างสายสัมพันธ์ ให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันได้อย่างแนบแน่น

ศาสนาพุทธสอนปัจจุบัน อดีตทำให้เราเรียนรู้แต่ก็อย่าไปกังวล อนาคตเราก็อย่าไปหวาดกลัวกับมัน เพราะศาสนาสอนเราว่า “ทำวันนี้ให้ถูก มันก็จะเป็นการพิสูจน์ว่า...พรุ่งนี้ก็ต้องถูก”

ประเทศไทยจะเปิดประตูเออีซีในอีกปีครึ่งข้างหน้า “หลักธรรม” หรือ “หลักพุทธศาสนา” เป็นสิ่งที่จะนำไปพูดดีๆ เชื่อมโยงกันได้เพื่อให้เกิดภาคีด้านการเกษตร ภาคีด้านการท่องเที่ยว หรือว่าการเคลื่อนไหวของคนงาน แรงงานในอนาคตต่อไป ซึ่งเราจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างแน่นอน

ดร.สุภชัย ย้ำว่า เวียดนามเป็นประเทศใหญ่ในกลุ่มอาเซียน ผลประโยชน์ที่เราจะทำเป็นคอมมูนิตี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้า ประเทศใหญ่กับประเทศใหญ่ยังขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำรัฐบาล หรือรัฐบาลต้องมีความคิดที่จูนตรงกัน...

 

"หลวงปู่พระมหาผ่อง" เป็นคนไทยเกิดอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี อายุ 20 ปี ข้ามโขงไปบวชที่ฝั่งลาว แล้วก็ได้มาจำพรรษาศึกษาบาลีอยู่วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ นาน 16 ปี

หลวงปู่พระมหาผ่องวิสัชนาต่อไปอีกว่า วันนี้พวกเราชาวพุทธทั้งเป็นชาวพุทธเฉพาะแต่ละประเทศ และเราก็เป็นสมาชิกพุทธสมาคมทั่วโลก แสดงว่าในระยะผ่านมากิจกรรมของศาสนาแต่ละประเทศโดยเฉพาะศาสนาพุทธพวกเราทั้งหลาย...เราถือว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประกอบด้วยเหตุผล

พูดตรงไปตรงมาว่า “พวกเราเรียนรู้ตามทฤษฎีของพุทธ แต่ส่วนมากชาวพุทธไปปฏิบัติทฤษฎีที่เป็นปรปักษ์กับศาสนาพุทธ มันจึงเกิดมีเรื่อง”

ย้อนไปช่วงหลังสงครามโลก...เป็นยุคฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมกลับไปแล้ว ประเทศลาวประกาศเอกราชแต่ผู้คนยังมีจิตใจเป็นฝรั่ง ครั้งหนึ่งคณะสงฆ์ได้ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเกี่ยวกับการเผยแผ่ศาสนาพุทธ ที่ดูเหมือนว่าก่อนที่จะเผยแผ่ได้จะต้องเขียนเอกสารส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจทานก่อนถึง 5 หน่วยงาน...

“เป็นระบบที่รับไม่ได้ ศาสนายังถูกครอบงำ”

หลวงปู่เล่าว่า เขาก็ถามว่าทำไมรับไม่ได้ ก็บอกว่า “ขัดกับทิศทางของศาสนาพุทธ"

 

เขาก็ถามอีกว่า ทิศทางศาสนาพุทธสอนอย่างไร ?

 

หลวงปู่ก็อธิบายว่า ศาสนาพุทธถ้าเทียบกับการเผยแพร่

 

กัณฑ์ที่ 1. ต้องสอนสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน

 

กัณฑ์ที่ 2. คณะรัฐบาลต้องได้รับฟังเสียก่อน

 

กัณฑ์ที่ 3. พนักงานของรัฐทุกๆ ท่าน

 

กันฑ์ที่ 4. ประชาชนทั่วไป

“เขาบอกอีกว่า เขาเป็นชาวพุทธหมดแล้ว อาตมาก็ว่าชาวพุทธนี่ไม่ถูก เพราะว่านั่งประชุมอยู่ในวัดองค์ตื้อ นั่งอยู่ต่อหน้าพระเจ้าองค์ตื้อ พระสงฆ์นั่งเลียบอยู่ตามพรม พนักงานฝ่ายบ้านเมืองข้าหลวงลาวที่นั่งอยู่รองเท้าไม่ถอด...เท่านั้น เขาก็บอกว่า ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถ้าเป็นประชาชนพูด ถูกจับแล้ว...”

หลวงปู่กลัวเหตุการณ์จะยืดเยื้อ ยกมือขึ้นพูด “ถ้าคำพูดนี่ถึงขนาดจับ จะตัดคอถวายต่อพระเจ้าองค์ตื้อ...เชิญ”...พอดีประธานจะลุกจากที่นั่ง อาตมาจึงขอเวลาสัก 5 นาที บอกว่า

“กองประชุมนี่ไม่ใช่พระสงฆ์ รัฐบาลเรียกมาประชุม การพูดก็ต้องเสาะหาสิ่งที่ดีที่ถูก การเสาะหาสิ่งที่ดีที่ถูก...การใช้คำพูดอาจมีคำหนัก คำเบา เพราะฉะนั้นคำพูดอยู่ในองค์ประชุมนี่ ห้ามเอาออกจากเศียรพระองค์ตื้อ ไม่ให้ไปพูดที่อื่น เท่านั้น...เขาจึงขออภัยว่าเขาผิด”

 

บรรยากาศในห้องประชุมที่ร้อนฉ่า เทียบกับนอกห้องก็ดูจะไม่ต่างกัน เพราะพวกผู้แทนที่รอกันอยู่ด้านนอก ก็ร้องเซี้ยว “ขนาดพูดกับพระสงฆ์ยังขนาดนี้ กับประชาชนจะขนาดไหน”

อีกมุมมองทางโลกผสานทางธรรม เมื่อครั้งการประชุมศาสนาในปี 2542 จัดที่มหานครนิวยอร์ก หลวงปู่พระมหาผ่องเล่าว่า ตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์ที่เมื่อก่อนดูถูกว่าศาสนา จิตนิยม เป็นเรื่องงมงาย

“แต่เมื่อเขาค้นหา...เส้นทางสันติภาพ ด้วยการส่งเสริมกัน สร้างความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ต่างก็ว่าเพื่อสันติภาพ เสาะหาไปทั่วโลกมนุษย์หมดแล้วไม่พบ ขึ้นไปส่องโลกพระจันทร์ ตอนหลังจะไปถึงทางตันหรืออย่างใด หรือว่าเขาจะคิดได้อย่างไร...ก็พากันกลับลงมา”

ตอนนี้ ทั้งโซเวียต อเมริกา ทั่วโลก จะมาเสาะหาเส้นทางจากศาสนา เพราะว่าเมื่อก่อนว่า “จิตนิยม งมงาย”...เป็นการพูดรวมๆ แท้จริงแล้วมันมีทุกศาสนาหรือเปล่า? พระมหาผ่องเคยไปพูดที่มอสโก โซเวียต เป็นความพยายามในการเสาะหาเส้นทางสันติภาพเหมือนกัน ที่ประชุมสรุปยังไงกันบ้าง...ตอบสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ...“ศีล 5”

“ในวงประชุมไม่เรียกว่าศีล 5 แต่จะพูดเป็นบทเรียนสั้นๆ... มนุษย์เป็นสัตว์เมืองไม่ใช่สัตว์ป่า ธรรมชาติสัตว์เมืองใครจะอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะ แต่มนุษย์ก็มีความคิดความเห็นไม่ตรงกัน จำเป็นจะต้องมีกฎระเบียบเพื่อให้มวลมนุษย์ปฏิบัติ”

 

กฎระเบียบอันนั้นชาวพุทธเราเรียกว่าศีล 5 หนึ่ง...มนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ให้เบียดเบียนกัน สอง...มนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ให้มีการลักทรัพย์ของกันและกัน สาม...มนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ให้ล่วงเกินระหว่างผัวเมียของกันและกัน สี่...มนุษย์อยู่ร่วมกันไม่ให้หลอกลวงกัน พูดในทางที่เกิดสามัคคี ห้า...มนุษย์อยู่ร่วมกันไม่ให้พากันเสพสิ่งมึนเมา

นี่คือเส้นทางธรรมที่สั้น กระชับ ปฏิบัติง่ายของ “หลวงปู่พระมหาผ่อง” ที่ยังมีไฮไลต์สำคัญที่ต้องติดตามคือ...“โฮจิมินห์” มหาบุรุษกู้ชาติที่นำหลักธรรมะไปปรับใช้อย่างไร จึงเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาถึงวันนี้.


 

 

 

ข่าว : ไทยรัฐ

07 ตุลาคม 2556


 

 

 

 

เยือนไทย !

 

"ญาท่านมหาผ่อง-มหาสังฆนายกลาว"

 

 

 

 

 

เป็นกระแสข่าวเล็กๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์ ในเหตุการณ์ใหญ่ 2 เหตุการณ์ซ้อน นั่นคือ การเสด็จมาของ "ญาท่านพระมหาผ่อง สมาเลิก" มหาสังฆนายก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เจ้าอาวาสวัดพระเจ้าองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทร์ ท่านเดินทางมายังประเทศไทยในฐานะอาคันตุกะของ พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ วีรยุทโธ) หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยาและวัดไทยลุมพินี และวัดในเครืออีกนับสิบแห่งในอินเดีย ใครไปอินเดียแล้วไม่รู้จักท่านเจ้าคุณวีรยุทธก็เท่ากับว่าไม่ได้ไป ปานนั้นเชียว ปีนี้ก็มีข่าวว่าท่านวีรยุทธจะได้เลื่อนเป็นชั้นเทพ ซึ่งก็คงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะพระไทยทั่วประเทศไปนมัสการสังเวชนียสถานทั้งในอินเดียและเนปาล ก็ต้องไปพึ่งพาอาศัย พักผ่อนนอนเรือนและฉันข่าวฉันน้ำ ฉันโรตี รวมทั้งแวะเข้าห้องน้ำที่วัดไทยชายแดนเนปาล ของท่านเจ้าคุณวีรยุทธ มาทุกรูปทุกองค์ ดังนั้น จึงเห็นว่าเหมาะสม เพราะคนทำงานมีผลงานก็ต้องมีรางวัลให้

 

ในครั้งนี้ เจ้าคุณวีรยุทธ ในนามประธานสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ได้กราบอาราธนานิมนต์สมเด็จพระมหาสังฆนายกแห่งราชอาณาจักรลาว คือ "ญาท่านพระมหาผ่อง สมาเลิก" มาร่วมประชุมองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ศ.ล.) ซึ่งกำหนดขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม ศกนี้ ที่ผ่านมา

 

ก่อนถึงงานฉลองพระวัสสายุกาล 100 ชันษา ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2556 เวลา 13.00 น. ญาท่านพระมหาผ่อง สมเด็จพระสังฆนายก แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้เดินทางไปยังวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เพื่อเป็นประธานในการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศและอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้มีสถาบันโพธิคยาวิชชาลัยของท่านเจ้าคุณวีรยุทธ ร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย

 

ถ้ายังจำกันได้ วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2552 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ของไทย ได้นำคณะสงฆ์เดินทางข้ามโขง ไปยังพระนครหลวงเวียงจันทร์ ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการเปิดประวัติศาสตร์สานสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรก และได้รับการต้อนรับจากสมเด็จพระสังฆราชลาว รวมทั้งพระมหาสังฆนายก (พระมหาผ่อง) อย่างซื่นมื่นอีกด้วย

 

ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระมหาสังฆนายกลาว จึงถือโอกาสร่วมบำเพ็ญกุศล ดังกล่าว

 

 





 

ภาพสมเด็จเกี่ยวเยือนลาว

 

ต้นแถวนั่งเก้าอี้ด้านขวา คือพระมหาสังฆนายกผ่อง

 

 

ส่วนภาพด้านล่างเหล่านี้ เป็นพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระพุฒาจารย์ ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดยญาท่านพระมหาผ่อง มหาสังฆนายกแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ภาพจากวัดสระเกศ)

 

 












 

 

 

 


ลุงโฮกับมหาผ่อง

โดย กิเลน ประลองเชิง น.ส.พ.ไทยรัฐ

 

 

ในงานฉลองเจริญพระชันษาครบ 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มีหลวงปู่พระมหาผ่อง ประธานคณะสงฆ์ลาวหรือที่พวกเราเรียกสะดวกปากว่า สังฆราชลาว  เสด็จมาถวายคำอำนวยพรด้วย

หลวงปู่พระมหาผ่อง...สุขภาพร่างกายยังแข็งแรง ดวงตาแวววามแจ่มใส...เห็นท่านแล้ว ไม่อยากเชื่อว่า วันนี้ท่านอายุ 98 ปี อ่อนกว่าสมเด็จพระญาณสังวร 2 ปี

ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย นิมนต์ท่านไปวิสัชนา หัวข้อ โฮจิมินห์กับพุทธศาสนา ที่สำนักงานพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เมื่อเย็นวันที่ 1 ต.ค.

เคยว่ากันว่า คอมมิวนิสต์น่ากลัวมาก เข้าบ้านเมืองใดชาวบ้านจะเดือดร้อน พระสงฆ์องค์เจ้า จะถูกจับไปทำนา วัดวาถูกทำลาย...แล้ว... ลุงโฮ (จิมินห์) คอมมิวนิสต์ตัวพ่อ...จะไปกันได้กับพุทธศาสนา อีท่าไหน

คำตอบนี้...วิสัชนาได้จาก...ประวัติหลวงปู่พระมหาผ่อง...แท้จริงท่านเป็นคนไทย เกิดในอำเภอตระการพืชผล...อุบลราชธานี  แต่ข้ามฝั่งแม่น้ำโขง ไปเติบโตและบวชเรียนที่ฝั่งลาว

บวชเป็นพระ เคยอยู่วัดชนะสงคราม...สอบเปรียญ 6 ประโยคได้ ในสมัยรัชกาลที่ 8

วัดชนะสงคราม กับวัดบวรใกล้กัน มีตลาดบางลำพูคั่นกลาง หลวงปู่ออกบิณฑบาต สวนกันไปมากับพระมหาเจริญ... (สมเด็จพระญาณสังวร) หลายครั้งจนคุ้นหน้า

ผมฟังเรื่องพระสังฆราชสองแผ่นดินแล้ว นึกถึงพระนิพนธ์ “สามกรุง” ซินแสเจอพระสิน พระด้วง เดินบิณฑบาตด้วยกัน หัวเราะแล้วทำนายว่า พระสองรูปนี้ มีบุญบารมี ถึงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

ต่อมาพระสิน ก็คือพระเจ้าตากสิน พระด้วง ก็คือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

สอบเปรียญ 6 ได้ พระมหาผ่องก็กลับลาว...ถึงตอนนี้ ผมจับความได้ไม่ชัด ท่านสึกเป็นฆราวาสหรือไม่ เพราะถูกแนะจากเจ้าเพชรราช ว่าเป็นลูกบุญธรรม โฮจิมินห์ นับเจ้าเพชรราช เป็นสหาย...จึงขอพระมหาผ่อง...เป็นลูกบุญธรรมด้วย

ย้อนไปเรื่องราวของลุงโฮ พระหนุ่ม ปัญญาชนแถวหน้าของลาว ใช้เวลาค้นคว้าหลายปี เล่าเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในการรับรู้ของคนไทยมาก่อน

ตอนโฮจิมินห์ มาอยู่ไทย มีข่าวว่าบ้านอยู่ในนครพนม...นั้นแท้จริง ช่วงแรกโฮจิมินห์ มาบวชเป็นศิษย์หลวงพ่อบ๋าวเอิ๋งอยู่วัดญวนสะพานขาว กรุงเทพฯ 1 ปีต่อมาก็เปลี่ยนไปบวชเป็นพระไทยนิกายธรรมยุต ที่อุบลราชธานี

ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอีก 1 ปี ต่อมาก็ไปรัสเซีย ศึกษาวิชาคอมมิวนิสต์ จากเลนิน

เชื่อกันว่า โฮจิมินห์ รักษาศรัทธาของคนเวียดนามไว้ได้ กระทั่ง ตายแล้ว ยังมีคนเวียดนามเข้าคิวรอ ขอไปคารวะศพลุงโฮ วันละนับพัน เพราะตลอดชีวิตโฮจิมินห์ เคร่งครัดในหลักการ 10 ข้อ

“ทุกข้อตรงกับทศพิธราชธรรม ธรรมะของผู้นำ...ของพุทธศาสนา” ดร.สุภชัยว่า

เมื่อมีคำถาม...หลัง 2 ธ.ค.2518 ลาวเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบเจ้าเป็นระบอบสังคมนิยม...สถาบันพุทธศาสนาอยู่ได้อย่างไร

หลวงปู่ฯวิสัชนา พุทธศาสนากับรัฐบาลสังคมนิยม...มีเป้าหมายที่ประชาชน จึงผสมกลมกลืนไปกันได้...

 

หลวงปู่ฯวิสัชนา พุทธศาสนากับรัฐบาลสังคมนิยม...มีเป้าหมายที่ประชาชน จึงผสมกลมกลืนไปกันได้...

มีการเขียนธรรมนูญปกครอง คณะสงฆ์ขึ้นใหม่ ชำระคัมภีร์อานิสงส์ คัมภีร์เก่าทางพุทธศาสนาใหม่...สถาบันพุทธศาสนาลาว นอกจากไม่เสียหาย บอบช้ำ ทั้งยังอยู่ได้อย่างยืนยงยั่งยืน

หลวงปู่พระมหาผ่องวิสัชนาถึงตอนนี้ ผมยกมือ “สาธุ” พระสงฆ์ลาววัตรปฏิบัติน่ากราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง

ข้อเคลือบแคลง พุทธศาสนาจะอยู่ต่อไปอย่างไร นับแต่วันที่ผมไปทำข่าวลาวเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2 ธ.ค.2518 กลางกรุงเวียงจันทน์ ก็คลี่คลายหายไป เหมือนพระจันทร์ข้างแรม เปลี่ยนเป็นพระจันทร์เต็มดวงคืนเพ็ญ

เชื่อแล้วในบัดนั้น...คำสอนพระพุทธเจ้า คำสอนของเลนินที่โฮจิมินห์เรียนรู้อย่างเข้าใจ...มีผลต่อการกู้ชาติเวียดนาม มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสถาบันสงฆ์ในลาว

ก่อนกลับผมเข้าไปกราบ...หลวงปู่พระมหาผ่อง...แทบเท้าท่าน...ผมเพิ่งรู้ว่า ไม่ได้กราบพระอย่างมีศรัทธาเต็มหัวใจ อย่างนี้มานานเต็มที.

 

 

 

เปิดประวัติศาสตร์ !

 

"ญาท่านมหาผ่อง-มหาสังฆนายกลาว"

 

ผู้รวมคณะสงฆ์ลาวให้เป็นหนึ่งเดียว

 

 

ลาวทำได้ แต่..ไทยทำไม่ได้

 

อ่านแล้วอยากได้ญาท่านมหาผ่องมาเป็นสังฆราชไทยจัง เพราะ สังฆราชไทย น่าที่จะเป็นผู้รวบรวมนิกายสงฆ์ให้เป็นหนึ่ง กลับนำขบวนคัดค้านการรวมนิกายสงฆ์จนเละเทะมาจนปัจจุบันวันนี้ ใครอยากรู้ว่าสังฆราชที่ว่านั้นชื่ออะไรก็ไปค้นประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์เอาเองเด้อ

 

 

 

 

พระสงฆ์ สปป.ลาว ไม่มีพระมหานิกายและธรรมยุต

 

คอลัมน์ ไลฟ์สไตล์ หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์

 

 

พระมหาผ่อง สะมะเลิก เจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทน์ ประธานองค์การพุทธศาสนสัมพันธ์ สปป.ลาว รับนิมนต์จากสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 มาประชุมที่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) เพื่อฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วันที่ 3 ต.ค. 2556 ในโอกาสสำคัญนี้ พระเถระวัย 97 ปี ได้เล่าให้ประชาชนชาวไทย และสมาชิก พ.ส.ล. ทราบถึงสถานการณ์พระพุทธศาสนาในสปป.ลาวด้วย

 

ประเด็นที่พระมหาผ่อง หรือที่พุทธศาสนิกชนเรียกว่าหลวงปู่ เล่าให้ฟังนั้น เป็นเรื่องที่ชาวพุทธคอยฟังมาตลอด คือ สถานการณ์พระพุทธศาสนาใน สปป.ลาว หลังจากปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ โดยท่านเล่าว่า ตั้งแต่ สปป.ลาว ได้รับการปลดปล่อย เมื่อ ค.ศ. 1975 หรือ พ.ศ. 2518 สปป.ลาว ยังมีพระสงฆ์เหมือนเดิม แต่เป็นพระสงฆ์ลาว เถรวาท ไม่พระมหานิกาย หรือธรรมยุต เหมือนที่เคยมีในอดีต

 

ท่านเล่าว่า ทันทีที่ สปป.ลาวได้รับการปลดปล่อย ตัวท่านพระมหาผ่อง สะมะเลิก ที่เข้าเคลื่อนไหวกับพรรคคอมมิวนิสต์ลาวมาตั้งแต่ พ.ศ. 2495 จนกระทั่งได้รับชัยชนะ เมื่อ พ.ศ. 2518 ได้รับมอบหมายจากพรรคไปรวมพระสงฆ์ที่แบ่งเป็นนิกายให้เป็นอันหนึ่งเดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องกับที่ สปป.ลาว ปกครองเพียงพรรคเดียว โดยทางพรรคกำชับมาว่าถ้าทำไม่ได้ ไม่ต้องกลับมาเวียงจันทน์

 

เป็นคำสั่งที่ท้าทายยิ่งนัก ตรงกับคติของท่านว่า ถ้าเฮ็ดเวี่ยก บ่ย่านตาย หากย่านตาย บ่ต้องเฮ็ดเวี่ยก (ถ้าทำงาน ไม่ต้องกลัวตาย ถ้ากลัวตาย ก็ไม่ต้องทำงาน)

 

 

เลิกธรรมยุตมหานิกาย

 

ก่อนที่จะเป็นอิสระนั้น ประเทศ สปป.ลาว มีพระสงฆ์ 2 นิกาย คือ มหานิกายและธรรมยุต คณะสงฆ์ทั้งสองนิกายมีความแตกแยกมากที่สุดที่นครจำปาสัก หรือแขวงจำปาสัก ประชาชนและพระสงฆ์ที่เป็นธรรมยุต จะไม่ร่วมสังฆกรรมกับพระมหานิกาย แม้กระทั่งผู้ชายที่อยู่ฝ่ายมหานิกายจะแต่งงานกับหญิงสาวที่อยู่ฝ่ายธรรมยุต ฝ่ายชายต้องมาเข้าแต่ฝ่ายธรรมยุตเท่านั้น

 

ในครั้งนั้นวัดพระธรรมยุตที่แขวงจำปาสักมีรวมกันถึง 23 วัด ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำจุนจากบุตรธิดาและญาติเจ้าบุญอุ้ม ผู้ครองนครจำปาสัก จึงมีอำนาจและบารมีเหนือกว่าพระในฝ่ายมหานิกาย ซึ่งเป็นนิกายเก่าและมีจำนวนมากกว่า

 

เมื่อได้รับมอบหมาย ท่านจึงเดินทางไปนครจำปาสักเพื่อประชุมเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนนิกาย พร้อมกับเกลี้ยกล่อมญาติโยมทั้งสองฝ่ายให้เห็นชอบด้วย ในการจะยกเลิกมหานิกายและธรรมยุตนั้นได้กำหนดให้มีเพียงพระสงฆ์ลาวเท่านั้น และได้ประกาศว่าใครยังถือนิกาย จะอยู่ในแผ่นดินลาวไม่ได้เด็ดขาด

 

ท่านมหาผ่องใช้เวลา 21 วัน เกลี้ยกล่อมให้พระสงฆ์ 2 นิกาย และญาติโยมให้เห็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงยกย่องความสามัคคีว่าสามารถนำไปสู่ความเจริญได้ (สามคฺคี วุฑฺฒิสาธิกา) ที่ประชุมตกลงเลิกนิกายเมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน 7 (พ.ศ. 2518) ท่านจึงจัดให้พระทั้งหมดลงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์ร่วมกันในวันนั้น แต่มีเสียงค้านว่าผิดธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นการทำลายพระศาสนา เพราะปาฏิโมกข์ต้องสวดวันขึ้น 15 คำ หรือแรม 1415 ค่ำ (วันพระใหญ่) ท่านบอกว่าทำได้ ไม่ใช่ทำลายพระศาสนา แต่เป็นการส่งเสริมพระศาสนา เพราะการสวดปาฏิโมกข์มีเป้าหมายเพื่อความสามัคคีของหมู่สงฆ์ แต่พระที่ไม่เห็นด้วยก็แย้งว่าไม่เคยมีแบบนี้ในอดีต ท่านจึงตอบว่า ก็เพราะในอดีตยังไม่มีความสามัคคี ใช่ไหม เรื่องจึงจบ

 

การสวดปาฏิโมกข์เพื่อความสามัคคีของสงฆ์จึงมีขึ้นท่ามกลางพระสงฆ์ที่มีเพียงพระสงฆ์ลาวเท่านั้น ท่านถือว่าเหตุการณ์วันนั้น ถือได้ว่าศาสนายึดอำนาจนิกายมาทำลายเสีย ความแตกแยกจึงหมดสิ้นไป เหลือแต่ความสามัคคีของหมู่สงฆ์

สปป.ลาว จึงมีแต่พระสงฆ์ลาว ภายใต้การปกครองขององค์การพุทธศาสนสัมพันธ์ลาว ที่มีตัวท่านเป็นประธาน มาตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 2554 (ค.ศ. 2011)

 

ปัจจุบัน สปป.ลาว มีพระสงฆ์ประมาณ 2 หมื่นรูป สามเณร ประมาณ 3 หมื่นรูป โดยมีวัด 4,500 วัด

 

 

พระเถระ 2 แผ่นดิน

 

สำหรับตัวตนของพระมหาผ่อง สะมะเลิกนั้น เป็นพระเถระ 2 แผ่นดิน หรือ 2 ฝั่งโขง เพราะเกิดที่ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2459 บรรพชาและอุสมบทที่วัดโพธิ์ศรี อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2479 ได้เข้ามาอยู่วัดชนะสงคราม บางลำพู โดยญาติพี่น้องได้สำทับว่า หากไม่ได้เป็นมหาเปรียญ อย่าได้กลับ จ.อุบลราชธานี ท่านจึงทุ่มเทเรียนปริยัติธรรมที่วัดชนะสงครามอย่างเต็มที่ สามารถสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค เข้ารับพระราชทานพัดเปรียญจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ใน พ.ศ. 2489 จากนั้นได้ทำหน้าที่สอนพระปริยัติธรรมที่วัดชนะสงครามอีก 6 ปี รวมเวลาที่เป็นนักเรียนและครูที่วัดชนะสงคราม 16 ปี หลังจากนั้นได้เข้าร่วมขบวนปลดปล่อยประเทศลาวอย่างเต็มตัว และอยู่ฝั่ง สปป.ลาวนับแต่ พ.ศ.2495 เป็นต้นมา

 

ก่อนที่จะเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ลาว ท่านได้เคลื่อนไหวร่วมกับเสรีไทยช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาเพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่น ต่อมาได้เดินทางไปภาคอีสาน พบกับเจ้าเพชรราช มหาเสนาบดีลาว เมื่อ ค.ศ. 1946 หรือ พ.ศ. 2489 ในช่วงนั้นได้พบกับ โฮจิมินห์ หรือประธานโฮ เมื่อเจ้าเพชรราชไปช่วยประธานโฮที่ถูกจับใน จ.เลย หรือหนองคาย (ไม่แน่ใจ) ท่านประธานโฮ ถามว่าท่านมหาผ่องเป็นใคร เจ้าเพชรราชว่าเป็นลูกชายและเป็นที่ปรึกษาในฐานะพระครูหลวง ประธานโฮ บอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นลูกชายโฮด้วย ซึ่งหลวงปู่มหาผ่อง บอกว่าคือเป็นบุตรบุญธรรมร่วมอุดมการณ์

 

 

 

 

 

 

ลุงโฮบวชพระ

 

ลุงโฮหรือประธานโฮจิมินห์เคยอยู่ทางอีสานของไทยเป็นเวลา 8 ปี พูดภาษาไทยได้ เคยบวชพระที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม) เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่คนรู้จักในนามลุงจิ้น ก่อนจะไปทำสงครามปลดปล่อยเวียดนามจากฝรั่งเศส ต่อสู้กับการยึดครองของอเมริกาที่เวียดนามใต้ จนได้รับชัยชนะเวียดนามกลายเป็นประเทศเดียว ตั้งแต่ ค.ศ. 1975 ที่อนุสรณ์สถานหรือสุสานลุงโฮ กรุงฮานอย มีชื่อลูกบุญธรรมที่ชื่อพระมหาผ่องจารึกอยู่ด้วย

 

ท่านได้กล่าวถึงพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาที่เป็นไปได้กับการปกครองทุกระบบ แต่ไม่ได้เป็นไปในแบบร่วมหัวจมท้าย หากแต่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบอบการปกครอง คล้ายๆ กับนายท้ายเรือที่คอยบังคับทิศทางเรือให้แล่นไปในทิศทางที่ถูกต้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น